วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ การขาย และการบริหาร การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์


ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ : วอร์เรน  บัฟเฟตต์ จะจับตาดูอย่างระมัดระวัง

        แถวถัดลงมาจากกำไรขั้นต้นในงบกำไรขาดทุน  คือกลุ่มของค่าใช้จ่ายซึ่งเรียกว่า  ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ  ค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือค่าใช้จ่ายสำคัญเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่  ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารงาน  ค่าใช้จ่ายในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด  ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย  ค่าปรับปรุงโครงสร้างและการด้อยค่าของทรัพย์สิน  และค่าใช้จ่าย "อื่นๆ" ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายจิปาถะต่างๆ ทั้งค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่จากการดำเนินกิจการ และค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว

         รายการเหล่านี้รวมกันเป็น "รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ"  ของบริษัท  ซึ่งจะนำมาหักออกจากกำไรขั้นต้นเพื่อที่จะได้ตัวเลขกำไรหรือขาดทุนจากการดำเนินกิจการของบริษัท  เนื่องจากรายการเหล่านี้ทุกรายการล้วนมีผลกระทบต่อธรรมชาติของเศรษฐกิจของธุรกิจในระยะยาว  เราจะมาดูรายการเหล่านี้ทีละรายการอย่าเจาลึกตามสไตล์ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กันต่อไป


ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย, ทั่วไป  และการบริหาร 

       ในงบกำไรขาดทุน  ภายใต้หัวข้อ ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling), ทั่วไป (General), และการบริหาร (Administrative Expense) หรือ SGA ที่ซึ่งบริษัทรายงานค่าใช้จ่ายในการขาย  ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหารทั้งที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือโดยอ้อม  ในรอบบัญชีนั้นๆ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้รวมถึง  เงินเดือนของผู้บริหาร ค่าโฆษณา  ค่าเดินทาง ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับกฏหมาย  ค่าคอมมิสชั่น  ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนทั้งหมด และอื่นๆ 

       ในบริษัทเช่นโคคา-โคล่า  ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจสูงเป็นพันล้านและมีผลกระทบมหาศาลต่อกำไรสุทธิของบริษัท  หากคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละต่อกำไรขั้นต้นแล้ว ตัวเลขค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในแต่ละธุรกิจจะต่างกันอย่างมาก  แม้แต่ในระหว่างบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนแบบโคคา -โคล่า ตัวเลขค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็ยังแตกต่างกัน โคคา-โคล่า มีตัวเลขค่าใช้จ่าย SGA เฉลี่ย 59% ของกำไรขั้นต้นอย่างสม่ำเสมอ บริษัทอย่างมูดี้ส์มีตัวเลขเฉลี่ยที่ 25% อย่างสม่ำเสมอ  และพร็อคเตอร์แอนด์แกมเบิลอยู่ที่ราว 61% อย่างสม่ำเสมอ  ณ จุดนี้ คำว่า "สม่ำเสมอ"  คือหัวใจสำคัญ

     บริษัทที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุงแรง และมีตัวเลขค่าใช้จ่าย SGA ต่างกันอย่างมากเมื่อเทียบเป็นอัตราร้อยละต่อกำไรเบื้องต้น  ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา  จีเอ็มมีค่า SGA เพิ่มจาก 28%  เป็น 83% ฟอร์ดมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ในช่วง 5 ปีตั้งแต่ 83% ถึง  780% ซึ่งหมายความว่าบริษัทกำลังสูญเสียเงินอย่างใหญ่หลวง  ปัญหาของบริษัทก็คือเมื่อยอดขายเริ่มตก  ซึ่งหมายความว่ารายได้ตกลงด้วย  แต่ค่าใช้จ่ายในการขายทั่วไป  และการบริหารยังคงอยู่  หากบริษัทไม่สามารถตัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้เร็วพอ  กำไรเบื้องต้นจะเริ่มถูกกินลึกลงไปเรื่อยๆ

     ในการค้นหาบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายการขาย  ทั่วไป  และการบริหารยิ่งต่ำจะยิ่งดี  และหากสามารถคงความต่ำอย่างสม่ำเสมอก็จะดียิ่งขึ้นอีก  อย่างไรก็ตาม มีบริษัทจำนวนหนึ่งที่มีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันอย่างยั่งยืน แต่มีค่า SGA อยู่ในระหว่าง 30% ถึง 80% ด้วยเช่นกัน  แต่ถ้าหากเราเห็นบริษัทที่มีค่า SGA ใกล้เคียง หรือมากกว่า 100% ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  หมายความว่าเรากำลังเล่นอยู่กับบริษัทซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงมาก  ทำให้ไม่มีบริษัทใดสามารถมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนได้

        นอกจากนี้  ยังมีบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายการขาย  ทั่วไป  และบริหารต่ำหรือปานกลาง แต่ทำลายเศรษฐกิจของธุรกิจในระยะยาวที่ดีเยี่ยมของตนด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาลในการค้นคว้าพัฒนา ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนและ/หรือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยกับหนี้ก้อนโตด้วย

        อินเทลคือตัวอย่างที่ดีมากของบริษัที่มีอัตราร้อยละของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย ทั่วไป และบริหาร ต่อกำไรขั้นต้นในระดับต่ำ แต่เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าพัฒนาสูง  ทำให้เศรษฐกิจระยะยาวของธุรกิจลดต่ำเหลือเพียงปานกลางเท่านั้น  แต่ถ้าหากอินเทลหยุดค้นคว้าวิจัย  ผลิตภัณฑ์รุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะล้าสมัยใน 10 ปีข้างหน้าและต้องเลิกธุรกิจ  

        ยางกู๊ดเยี่ยร์มีอัตราร้อยละค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย  ทั่วไป และบริหารต่อกำไรขั้นต้น 72% แต่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนและดอกเบี้ย (จากหนี้ซึ่งนำมาชำระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุน) ฉุดให้ผู้ผลิตยางรายนี้ขาดทุนทุกครั้งที่เศรษฐกิจถดถอย  แต่ถ้าหากว่ากู๊ดเยี่ยร์ไม่สร้างหนี้เพื่อนำไปชำระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนและปรับปรุงบริษัท  กู๊ดเยียร์ก็ไม่อาจคงความสามารถในการแข่งขันได้นาน

      วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจากบริษัทต้องสาปด้วยค่าใช้จ่ายการขาย  ทั่วไป  และบริหารสูงอย่างสม่ำเสมอ  เรายังรู้อีกว่าเศรษฐกิจของบริษัทที่มีค่า SGA ต่ำ  สามารถถูกทำลายลงด้วยค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา  และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนที่สูง  และ/หรือหนี้ก้อนโต  วอร์เรน  บัฟเฟตต์จะหลีกเลี่ยงธุรกิจประเภทนี้ไม่ว่าราคาจะเท่าใดก็ตาม  เพราะเขาทราบว่าเศรษฐกิจในระยะยาวของบริษัทเหล่านี้จะแย่มากโดยธรรมชาติ  ที่แม้แต่ราคาขายถูกๆ ก็ไม่ทำให้นักลงทุนรอดพ้นจากผลประกอบการ "งั้นๆ" ตลอดอายุขัยของธุรกิจได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น