tag:blogger.com,1999:blog-31929924591480011472023-11-16T10:50:08.249-08:00Warren Buffet Sayข้อคิด หลักคิด การลงทุน Warren Buffet การลงทุนแบบเน้นมูลค่าAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.comBlogger16125tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-81394569173734509612016-10-27T08:59:00.001-07:002016-10-27T08:59:49.241-07:00warren buffett speech to students MBA <iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/Uv1395cGrmU" width="560"></iframe><br />
<br />
warren buffett speech to students MBA Talk About life and Invester mindAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-5279138937186782382015-02-08T00:04:00.002-08:002015-02-08T00:04:55.685-08:00ความจำเป็นที่จะต้องวางแผน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxEzqYIt55q9fGO_uViXFTyozB5T2X463XV8kC99A5Lte69Ll37vt-bbSzQ_IfGeYsklY9JRjOsFiokm1QYSxTAJttaoBDox3Fse0hihwESrcm1AdpBPgEGa2KsnTT-CPLyr22c-0eEIJ7/s1600/warren-buffett-thaistockvi.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxEzqYIt55q9fGO_uViXFTyozB5T2X463XV8kC99A5Lte69Ll37vt-bbSzQ_IfGeYsklY9JRjOsFiokm1QYSxTAJttaoBDox3Fse0hihwESrcm1AdpBPgEGa2KsnTT-CPLyr22c-0eEIJ7/s1600/warren-buffett-thaistockvi.jpg" height="244" width="320" /></a></div>
<h3>
</h3>
<h3>
ความจำเป็นที่จะต้องวางแผน ไม่ใช่ทำเฉพาะการลงทุนเท่านั้น</h3>
<script async="" src="//pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js"></script>
<!-- In Artics -->
<br />
<ins class="adsbygoogle" data-ad-client="ca-pub-2625885863639131" data-ad-slot="9073486008" style="display: inline-block; height: 250px; width: 250px;"></ins><script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script><br />
คุณจะเดินทางไปในสถานที่ที่คุณไม่เคยไปมาก่อนโดยไม่มีแผนที่ไม่มีเอกสารบอกเส้นทางใดๆ และไม่มีเครื่องนำทางจีพีเอสไหม ? คุณจะเริ่มต้นธุรกิจโดยไม่ยอมเสียเวลาและพลังงานเพื่อค้นคว้าวิจัยธุรกิจนั้นๆ ให้รู้แจ้งโดยตลอดแล้วเขียนแผนธุรกิจที่ดีเตียมไว้ก่อนหรือป่าว? คำตอบที่ได้นั้นจะอธิบายถึงคำที่คนโบราณกล่าวไว้ได้ว่า "ใครก็ตามที่ล้มเหลวในการวางแผน คนผู้นั้นก็ได้วางแผนไปสู่ความล้มเหลว"<br />
<br />
ทั้งๆ ที่ภูมิปัญญาประโยคข้างต้นนี้สามารถใช้เป็นเครื่องเตือนใจได้เป็นอย่างดีแล้วก็ตาม นักลงทุนจำนวนมากก็ยังคงเริ่มต้นการลงทุนของเขาโดยไม่มีแผนการใดๆ เลย เหตุผลหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่ามีนักลงทุนจำนวนน้อยมากที่มีความสามารถในการเขียนแผนการลงทุนได้ดี และนั่นคือสิ่งที่ผู้คนในวอลล์สตรีทและสือมวลชนไม่อยากให้คุรทำ กลยุทธ์การเอาชนะของผู้คนเหล่านั้นคือ กลยุทธ์ที่จะทำให้คุณพ่ายแพ้นั่นเอง<br />
<br />
มันเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องพึงเข้าใจว่า แผนการลงทุนมีความจำเป็นต่อการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับการลงทุน คุณไม่สามารถที่จะประเมินค่าการลงทุนใดๆ ได้อย่างเหมาะสมโดยปราศจากการพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อความเสี่ยงและความคาดหวังต่อผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนของคุณ ซึ่งนั่นเป็นข้อได้เปรียบที่จะบรรลุถึงความสำเร็จในแผนการลงทุน<br />
<br />
<h4>
แผนการเงินจะต้องเป็นเอกสารที่มีชีวิต </h4>
<div>
เช่นเดียวกับแผนธุรกิจซึ่งต้องมีการทบทวนอยู่เป็นประจำเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนไปตามปัจจัยต่างๆ ของตลาด แผนการลงทุนและแผนการเงินจะต้องเป็นเอกสารที่มีชีวิตต้วย ถ้าแผนใดๆ ของคุณมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับชีวิตเกิดขึ้น ก็จะส่งผลต่อแผนต่างๆ เป็นอย่างมาก ดังนั้นแผนการลงทุนจึงควรจะต้องได้รับการทบทวนทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ ในชีวิตเกิดขึ้น</div>
<div>
<br /></div>
<div>
การเคลื่อนไหวของตลาดก็สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสมมติฐานได้เช่นกัน ขณะที่ตลาดอยู่ในภาวะขาขึ้นอาจจะหมายความว่าคุณกำลังมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมายแล้วซึ่งจะทำให้คุณมีความเสี่ยงน้อยลง แต่ภาวะตลาดขาขึ้นก็อาจจะไปลดความคาดหวังในผลตอบแทนลงได้ นั่นหมายความว่าเป้าหมายของหลายๆ คนอาจจะห่างไกลออกไปและจะต้องรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ในทางกลับกันสำหรับภาวะตลาดขาลงนั่นจะเกิดขึ้นได้จริง ดังนั้นนโยบายที่ดีคือการทบทวนแผนการลงทุนและสมมติฐานที่วางไว้ทุกๆ ปี </div>
<div>
<br /></div>
<div>
ก่อนที่คุณจะเขียนแผนการลงทุน คุณควรจะทบทวนแผนการเงินและสถานะส่วนบุคคลของคุณเสียก่อน นอกเหนือจากการพิจารณาแผนการเงินแล้ว คุณยังควรจะพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังต่อไปนี้อีกด้วย</div>
<div>
<ul>
<li>ความมั่นคงในหน้าที่การงานของคุณ</li>
<li>ความเสี่ยงในงานของคุณเกี่ยวพันกับการลงทุนในหุ้นของคุณหรือไม่?</li>
<li>ขนาดการลงทุนของคุณ</li>
<li>ความทนทานต่อความเสี่ยง</li>
<li>ความต้องการเงินสำรองฉุกเฉิน</li>
</ul>
<div>
จงจำไว้ว่าขนาดการลงทุนของคุณจะมีผลต่อการวางแผนเกษียณอายุของตัวคุณเอง และมันอาจจะเกี่ยวพันกับการจากไปของคุณ หากคุณลงทุนเผื่อแทนลูกหลาน</div>
</div>
<div>
<br /></div>
<div>
คุณควรจะพิจารณาถึงความจำเป็นที่จะต้องรับความเสี่ยงด้วย คุณเก็บออมเงินได้เพียงพอหรือไม่? ถ้าเพียงพอแล้ว ทำไมคุณจุต้องรับความเสี่ยงต่อไปอีก? นักลงทุนจำนวนมากมายล้มเหลวกับการทำความเข้าใจว่ากลยุทธ์ที่สร้างความร่ำรวย (โดยการรับความเสี่ยง) นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับกลยุทธ์ที่ดำรงความร่ำรวยให้คงอยู่ </div>
<div>
<br /></div>
<div>
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ มันไม่เพียงพอที่จะมีแค่แผนการลงทุนที่ดีเพียงอย่างเดียว คุณจำเป็นต้องนำแผนการเงินเข้ามาพิจารณาประกอบด้วยซึ่งจะต้องรวมถึงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ การวางแผนภาษี และการจัดการความเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นความต้องการของชีวิต สุขภาพ การเสื่อมสมรรถภาพ การรักษาพยาบาลระยะยาว หนี้สินส่วนบุคคล และการประกันชีวิต นอกจากนั้นยังต้องมีการวางแผนประกันสังคม แล้วในที่สุดยังต้องรวมถึงกิจกรรมการบริจาคสาธารณกุศลเข้าไปไว้ด้วย</div>
<div>
<br /></div>
<div>
แผนการลงทุนที่ดีควรจะต้องมีการส่งมอบความมั่งคั่งไปย้งสมาชิกในครอบครัวไว้ด้วย ซึ่งคุณสามารถทำร่วมกับแผนงานที่เรียกว่า แผนการลงทุนเพื่อครอบครัวมั่งคั่ง และที่สำคัญ คุณควรจะทำแผนฉุกเฉินไว้เผื่อกรณีที่พอร์ตการลงทุนของคุณล้มเหลวที่จะส่งมอบผลตอบแทนตามที่วางแผนไว้ คุณควรเขียนระบุให้ชัดเจนเลยว่าคุณจะแก้ปัญหาอย่างไรถ้าสภาวะตลาดตกต่ำนำไปสู่เหตุการณ์ความล้มเหลวที่คุณไม่สามรถยอมรับได้ คุณคงไม่อยากพบตัวเองอยู่ในสถานณ์การณ์ที่พอร์ตการลงทุนของคุณล้มเหลวหรือตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่ </div>
<div>
<br /></div>
<div>
หนังสือนโยบายการลงทุน หรือ IPS ของคุณควรรวมเอารายการของเป้าหมายเฉพาะไว้ด้วย เช่น มูลค่าเงินที่คุณว่างแผนจะเพิ่มเข้าไปในพอร์ตการลงทุนในแต่ละปี มูลค่าสินทรัพย์ที่คุณพยายามจะสะสมให้ได้ตามเวลาที่กำหนด เมื่อไรที่คุณจะเริ่มต้นถอนเงินออกจากพอร์ตการลงทุนของคุณ และมูลค่าเงินที่คุณจะถอนออกมาในแต่ละปี ข้อระบุทั้งหลายเหล่านี้จะทำให้คุณสามารถตรวจสอบความก้าวหน้าได้ว่าคุณยังคงดำเนินตามเป้าหมายที่วางไว้และตามระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ และเพื่อให้คุณปรับเปลี่ยนแผนได้อย่างเหมาะสมตลอดระยะเวลาการลงทุน ขั้นตอนต่อไปในการพัฒนาแผน IPS ของคุณคือ การจัดสรรการลงทุนหรือการจัดพอร์ตการลงทุน ควรรวมเอาตารางการจัดสรรการลงทุนแต่ละประเภทให้เป็นตามแผน มีการกำหนดขอบเขตการจัดสรรการลงทุนแต่ละประเภทโดยกำหนดวงเงินต่ำสุดและวงเงินสูงสุดที่คุณสามารถลงทุนได้เพื่อให้การปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนทำได้คล่องตัวและยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ IPS ที่ทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรจะเป็นไกด์นำทางและช่วยสร้างวินับที่จำเป็นต่อกลยุทธ์ในการลงทุน ส่วนการพัฒนาแผนการจัดสรรการลงทุน เราจะพูดถึงในครั้งต่อไป</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-91224887692984425012015-01-20T06:59:00.001-08:002015-01-20T07:10:28.419-08:00คำแนะนำของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” สำหรับปี 2015<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> </span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDGQkf_djPsLJUwo-DIMMgaZEhjEGdTX666Mvb4CLnK9IcFXOrZAuhnfRvjF_ydJLu5rm_-GJ6_EjScWrgmgTyCzgfvSYi50eo5rkULma9dXYiWpF_S3xBHLqMQFlLW3TxbZ9O21jizcGK/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99-setlnw.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDGQkf_djPsLJUwo-DIMMgaZEhjEGdTX666Mvb4CLnK9IcFXOrZAuhnfRvjF_ydJLu5rm_-GJ6_EjScWrgmgTyCzgfvSYi50eo5rkULma9dXYiWpF_S3xBHLqMQFlLW3TxbZ9O21jizcGK/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99-setlnw.jpg" height="298" width="400" /></a></div>
<br />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> ผมได้มีโอกาสอ่านบทความเรื่อง <b>“6 Things Warren Buffett Says You Should Do With Your Money In 2015”</b> จากเว็บไซต์ “Business insider” ซึ่งผู้เขียนบทความนี้ได้รวบรวมข้อคิดดีๆ ที่สุดยอดนักลงทุนอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ได้กล่าวไว้ในวาระต่างๆ ในปีที่ผ่านมา สรุปเป็นคำแนะนำทางด้านการเงิน 6 ข้อ ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงขอนำมาถ่ายทอดให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันครับ</span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> <b> 1.ลงทุนในแหล่งที่มีความปลอดภัย</b> </span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นบริษัท เบิร์กไชร์ ฮาธาเวย์ ประจำปี 2014 “บัฟเฟตต์” ได้เปิดเผยถึงแผนการบริหารทรัพย์สินของเขา พร้อมทั้งแนะนำให้ผู้อ่านลงทุนในแหล่งลงทุนที่มีความปลอดภัย มีค่าใช้จ่ายต่ำ และเป็นการลงทุนแบบระยะยาว เขาแนะนำให้ลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 ที่คิดค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนต่ำมากๆ ซึ่งเขาเชื่อว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ดีกว่าแหล่งลงทุนอื่นๆ ที่ต้องจ้างผู้จัดการกองทุนค่าตัวแพงๆ</span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> <b> 2.อยู่ให้ห่างจาก “Bitcoin” </b></span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> “Bitcoin” เป็นสกุลเงินชนิดหนึ่งในโลกอินเตอร์เน็ต ซึ่งอาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในเมืองไทย “บัฟเฟตต์” มองว่าการทำธุรกรรมทางการเงินรูปแบบดังกล่าวไม่ใช่เป็นเรื่องของการลงทุน เนื่องจากมันไม่มีมูลค่าที่แท้จริง แต่เป็นเหมือนภาพลวงตา และเป็นเพียงการหมุนเงินหรือถ่ายโอนเงินรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เขาจึงแนะนำให้อยู่ห่างๆ เอาไว้</span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> <b> 3.เรียนรู้ที่จะอ่านงบการเงิน</b></span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> “บัฟเฟตต์” ได้ให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่ฝึกงานด้านหลักทรัพย์คนหนึ่งไว้ว่า ให้พยายามเข้าอบรมด้านบัญชีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากบัญชีเป็นภาษาของธุรกิจ มันจะทำให้สามารถอ่านและทำความเข้าใจงบการเงินได้ง่ายขึ้น นี่เป็นการเรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ ในเบื้องต้น ที่จะเป็นประโยชน์มหาศาลในภายหลัง </span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> <b>4.มุ่งเน้นที่การเก็บออม ไม่ใช่มุ่งหวังรวยเร็ว</b></span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> “บัฟเฟตต์” บอกว่า ความผิดพลาดที่ใหญ่หลวงที่สุดก็คือ การไม่เรียนรู้และฝึกฝนให้มีนิสัยในการเก็บออมอย่างเหมาะสมแต่เนิ่นๆ การออมให้เป็นนิสัยนั้นสามารถทำให้เรารวยได้ แม้ต้องอาศัยเวลาบ้างก็ตาม ในขณะที่การร่ำรวยแบบเร็วๆ หรือรวยทางลัดนั้น “บัฟเฟตต์” บอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ </span><br />
<script async="" src="//pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js"></script>
<!-- Archive - 1 (mobile, setlnw.com) -->
<br />
<ins class="adsbygoogle" data-ad-client="ca-pub-2625885863639131" data-ad-format="auto" data-ad-slot="9465154009" style="display: block;"></ins><script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script>
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> <b>5.เมื่อราคาหุ้นตก ให้ซื้อ ไม่ใช่ขาย</b></span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> “บัฟเฟตต์” ให้สัมภาษณ์ว่า เขาชอบเข้าซื้อตอนที่หุ้นตก ยิ่งตกหนักๆ เขายิ่งชอบ “ผมไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าตลาดหุ้นจะไปในทิศทางใด ผมรู้แค่ว่าควรเข้าไปซื้อหุ้นของกิจการที่มีราคาเหมาะสมเพื่อเป็นเจ้าของในระยะยาว”</span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> <b>6.หยุดทำตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ</b></span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> “บัฟเฟตต์” บอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างผลตอบแทนทางการลงทุนที่ยอดเยี่ยม เพียงแค่คุณรู้ข้อจำกัดของตัวเอง และเดินตามแนวทางที่ถูกต้องเหมาะสม มีเหตุมีผล และอย่าหวั่นไหวไปตามกระแสรอบข้าง ถ้ามีผู้มายื่นข้อเสนอที่จะทำให้คุณได้กำไรอย่างรวดเร็ว ก็ให้รีบปฏิเสธเขาไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน “บัฟเฟตต์” กล่าวเตือนสติไว้ว่า “ถ้าคุณไม่ได้ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จริง ก็เท่ากับว่าคุณกำลังเล่นพนันหรือเสี่ยงดวงนั่นเอง”</span><br />
<br style="color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px; margin: 0px; padding: 0px;" />
<span style="background-color: #fafafa; color: #006600; font-family: Monaco, 'Courier New', monospace; font-size: 23px;"> ทั้งหมดนั้นก็คือ คำแนะนำที่ <b>“วอร์เรน บัฟเฟตต์”</b> ได้ให้ไว้ หวังว่าคุณผู้อ่านจะสามารถนำไปปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับการบริหารเงินและการลงทุนได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ</span>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-16687212954912263592014-11-04T07:52:00.003-08:002014-11-04T07:52:48.281-08:00วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์และการตีความงบการเงิน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPH9SFs1JD567gSj33cpgzHEaSh8-FVx2KafdaQrzwT3O7_qUxXdV2tE_UDjRXyF6zAbKDi1pipJnuqKOh4_gS7G4NAT0ff8pswE2PTtLbKbCOK4lUqHq3NVrMAsh_KM4JzxX-15vtgtFs/s1600/thaistock+VI+Warrent.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiPH9SFs1JD567gSj33cpgzHEaSh8-FVx2KafdaQrzwT3O7_qUxXdV2tE_UDjRXyF6zAbKDi1pipJnuqKOh4_gS7G4NAT0ff8pswE2PTtLbKbCOK4lUqHq3NVrMAsh_KM4JzxX-15vtgtFs/s1600/thaistock+VI+Warrent.jpg" height="276" width="640" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<b>
" คุณต้องเข้าใจบัญชี และต้องเข้าใจ ความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ ในบัญชี บัญชีคือภาษาของธุรกิจ แต่เป็นภาษาที่ไม่สมบูรณ์ ตราบใดที่คุณไม่มีความตั้งใจ ที่จะเรียนรู้และเข้าใจบัญชี วิธีการอ่านและตีความหมายของงบการเงิน... จงอย่าเลือกหุ้นด้วยตัวคุณเอง "</b><br />
<span style="font-size: large;"><br /></span>
<br />
<div style="text-align: center;">
<b><span style="font-size: large;">การค้นหาบริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างยั่งยืน</span></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><br /></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/02/blog-post.html">Chapter 1 </a></b><span style="background-color: white;"><b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/02/blog-post.html">เผยความจริง ที่ทำให้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือชายที่รวยที่สุดในโลก</a></b></span></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_25.html"><span style="background-color: white;">Chapter 2 </span><span style="background-color: white;">ธุรกิจประเภทใดที่ทำให้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ รวยระเบิด</span></a></b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_59.html"><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;">Chapter 3 <span style="background-color: white;">วอร์เรนเริ่มการค้นหาบริษัทชั้นยอดจากตรงไหน</span></span></a></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_1.html"><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;">Chapter 4 ขุมทองที่ซ่อนอยู่ในงบการเงิน </span></a></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_53.html"><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;">Chapter 5 <span style="background-color: white;">งบกำไรขาดทุน การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์</span></span></a></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_95.html"><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;">Chapter 6 <span style="background-color: white;">รายได้ และต้นทุนขาย การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์</span></span></a></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_70.html"><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;">Chapter 7 <span style="background-color: white;">กำไรขั้นต้น / ส่วนต่างกำไรขั้นต้น การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์</span></span></a></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_0.html">Chapter 8 <span style="background-color: white;">ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ การขาย และการบริหาร </span></a></span></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_27.html"><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><b>Chapter 9 <span style="background-color: white;">ค่าใช้จ่ายในการวิจัยพัฒนาและค่าเสื่อมราคา การตีความงบการเงิน</span></b></span></a></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_69.html">Chapter 10 <span style="background-color: white;">ดอกเบี้ยจ่าย การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์</span></a></b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/03/blog-post_12.html"><span style="color: blue;"><span style="font-family: Trebuchet MS, sans-serif;">Chapter 11 </span><span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', sans-serif;">กำไร (ขาดทุน) กำไรก่อนหักภาษี และภาษีจ่าย</span></span></a></b></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/09/balance-sheet-in-general.html">Chapter 12 <span style="background-color: white;">ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับงบดุล</span></a></b></span><br />
<span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/09/blog-post_27.html">Chapter 13 <span style="font-size: xx-small; text-align: start; text-decoration: none;">งบดุล สินทรัพย์ การตีความงบการเงิน</span></a></b></span><br />
<b><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/09/vi_30.html">Chapter 14 <span style="text-align: center;"><span lang="TH" style="line-height: 24.5333347320557px;">วัฏจักรของสินทรัพย์หมุนเวียน </span></span><span style="text-align: center;"><span style="line-height: 24.5333347320557px;">: <span lang="TH">วิธีการทำเงิน</span></span></span></a></span></b><br />
<b><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/10/blog-post.html">Chapter 15 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด สมบัติที่รอการปล้นจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์</a></span></b><br />
<b><span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/10/blog-post_16.html">Chapter 16 สินค้าคงคลังและลูกหนี้การค้า</a></span></b><br />
<span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/10/blog-post_3.html">Chapter 17 ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและอัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน</a></b></span><br />
<span style="color: blue; font-family: Trebuchet MS, sans-serif;"><b><a href="http://www.thaistockvi.com/2014/10/blog-post_23.html">Chapter 18 อาคาร ที่ดิน และเครื่องจักร : สำหรับวอร์เรนต์ ไม่ใช่สิ่งที่ดี</a></b></span><br />
<b><br /></b></div>
<br />
<br />
<span style="background-color: white; font-family: 'Trebuchet MS', Trebuchet, Verdana, sans-serif; font-size: x-small;"><br /></span>
<span style="font-size: large;"><br /></span>
<script async="" src="//pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/adsbygoogle.js"></script>
<!-- ในบทความ -->
<br />
<ins class="adsbygoogle" data-ad-client="ca-pub-2625885863639131" data-ad-format="auto" data-ad-slot="6681436009" style="display: block;"></ins><script>
(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});
</script>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-48880421400241130192014-03-04T21:33:00.003-08:002014-03-04T21:33:48.384-08:00กำไรสุทธิ และกำไรต่อหุ้น การตีความงบการเงิน วอร์เร็น บัฟเฟตต์<h3>
<br /></h3>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOcqSgPa9AkJjiIhpRjh1wThr_HaMw-YobWDczGguRtSPq_msHoNGD1Wmt_KuxPmgxQHuq9Zc1RfkmXx617h93VVjVn_tAPERZ9X8Cxl2bnrHctG2ucYXFUl9bhlAi5DxakOhd_zTG4mVn/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C13.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOcqSgPa9AkJjiIhpRjh1wThr_HaMw-YobWDczGguRtSPq_msHoNGD1Wmt_KuxPmgxQHuq9Zc1RfkmXx617h93VVjVn_tAPERZ9X8Cxl2bnrHctG2ucYXFUl9bhlAi5DxakOhd_zTG4mVn/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C13.jpg" height="400" width="265" /></a></div>
<h3>
<br /></h3>
<h3>
กำไรสุทธิ : สิ่งที่วอร์เรนมองหา</h3>
<div>
หลังจากค่าใช้จ่ายทั้งหมดและภาษีถูกนำมาหักออกจากรายได้ของบริษัทแล้ว เราก็จะได้กำไรสุทธิของบริษัท และตรงนี้คือที่ซึ่งเราจะทราบว่าบริษัททำเงินได้เท่าใดหลังจากที่จ่ายภาษีรายได้แล้ว มีแนวคิดสองสามแนวคิดที่วอร์เรนใช้อยู่เมื่อเขาดูตัวเลขนี้ ซึ่งจะช่วยให้เขาตัดสินใจได้ว่าบริษัทนั้นๆ มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่.....เพราะฉะนั้น ทำไมเราไม่เริ่มที่นี่เลยล่ะ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
แรกสุด ในรายการของวอร์เรน บัฟเฟตต์คือ ประวัติของกำไรสุทธินี้มีแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ ตัวเลขกำไรสุทธิเพียงปีเดียวไม่มีค่าสำหรับวอร์เรน บัฟเฟตต์ สิ่งที่วอร์เรนสนใจคือภาพกำไรนั้นมีความสม่ำเสมอหรือไม่ และแนวโน้มในระยะยาวสูงขึ้นเรื่อยๆ ไหม --- ทั้ง 2 ข้อนี้แปลความหมายได้เท่ากับ "ความยั่งยืน" ของความได้เปรียบในการแข่งขัน... สำหรับวอร์เรนแล้ว การเดินทางไม่จำเป็นต้องราบรื่นเสมอ สิ่งที่เขามองหาคือประวัติแนวโน้มที่สูงขึ้นเรื่อยๆ </div>
<div>
<br /></div>
<div>
อย่างไรก็ตาม ให้หมายเหตุไว้ว่า : จากโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัท เป็นไปได้ว่าประวัติแนวโน้มกำไรสุทธิของบริษัทอาจต่างจากประวัติแนวโน้มของกำไรต่อหุ้น โครงการซื้อหุ้นคืนจะทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นจากการลดลงของจำนวนหุ้นที่นำมาหารกำไรสุทธิของบริษัท ทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น แม้ว่ากำไรสุทธิที่แท้จริงจะไม่เพิ่มขึ้นเลยก็ตาม ในกรณีสุดโต่ง โครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัทยังทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิจริงของบริษัทลดลงก็มี</div>
<div>
<br /></div>
<div>
แม้ว่าการวิเคราะห์การเงินส่วนใหญ่จะเน้นที่กำไรต่อหุ้นของบริษัทแต่วอร์เรน บัฟเฟตต์จะมองที่กำไรสุทธิของธุรกิจเพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่</div>
<div>
<br /></div>
<div>
สิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์เรียนรู้ก็คือ บริษัที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนจะรายงานร้อยละของกำไรสุทธิต่อยอดรวมรายได้สูงกว่าคู่แข่ง วอร์เรนบอกว่าหากได้เลือกเป็นเจ้าของบริษัทที่มีกำไร $20,000 ล้านเหรียญ จากรายได้รวม $10,000 ล้าน กับบริษัทที่มีกำไร $5,000 ล้าน จากรายได้รวม $100,000 ล้าน เขาจะเลือกบริษัทที่มีกำไร $2,000 ล้าน ทั้งนี้ก็เพราะว่า บริษัที่มีกำไรสุทธิ $2,000 ล้าน มีกำไรเท่ากับ 20% ของยอดรวมรายได้ ในขณะที่บริษัทมีกำไร $5,000 ล้าน มีกำไรเพียง 5% ของยอดรวมรายได้เท่านั้น</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ดังนั้น ตัวเลขยอดรวมรายได้อย่างเดียวจึงบอกอะไรเกี่ยวกับเศรษฐกิจของธุรกิจน้อยมาก แต่อัตราส่วนของกำไรสุทธิต่อยอดรวมรายได้จะสามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับเศรษฐกิจของธุรกิจเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่น </div>
<div>
<br /></div>
<div>
ธุรกิจที่น่าทึ่ง เช่น โคคา - โคล่า มีกำไร 21% จากยอดรวมรายได้ขณะที่มูดี้ส์ทำได้ 31% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจที่แฝงอยู่ในธุรกิจซึ่งเหนือกว่าโคคา - โคล่า แต่บริษัทอย่างสายการบินเซาธ์เวสท์ มีกำไรน้อยนิดเพียง 7% ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของธุรกิจสายการบินที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรง ซึ่งไม่มีสายการบินใดมีความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือเพื่อนร่วมธุรกิจเลย ในทางกลับกัน แม้แต่ในปีที่ดี (คือไม่ขาดทุน) จีเอ็ม มีกำไรเพียง 3% ของยอดรวมรายได้เท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจห่วยแตกที่แฝงอยู่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการแข่งขันซูเปอร์สูง</div>
<div>
<br /></div>
<div>
กฏง่ายๆ (และมีข้อยกเว้น) ก็คือ : หากบริษัทมีประวัติการทำกำไรมากว่า 20% ของยอดรวมรายได้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าบริษัทนั้นได้รับประโยชน์บางอย่างจากความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว ส่วนบริษัทที่แสดงตัวเลขรายได้สุทธิต่ำกว่า 10% ของยอดรวมรายได้อย่างสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่มักจะอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงที่ไม่มีบริษัทใดมีความได้เปรียบในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง แน่นอน ระหว่างกำไร 10% และ 20% ของยอดรวมรายได้นั้น มีพื้นที่สีเทากว้างมาก และในพื้นที่นี้เต็มไปด้วยบริษัทมากมายที่พร้อมที่จะให้นักลงทุนเข้ามาเก็บเกี่ยวทองคำในระยะยาวซึ่งยังไม่มีผู้ใดค้นพบ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
หนึ่งในข้อยกเว้นของกฏข้อนี้คือ ธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงิน ซึ่งเมื่อมีอัตราร้อยละระหว่างกำไรสุทธิและยอดรวมรายได้สูงผิดปกติ มักจะหมายถึงความไม่มีประสิทธิภาพของฝ่ายบริหารความเสี่ยงในขณะที่ตัวเลขของธุรกิจเหล่านี้ดูเย้ายวนใจนั้น ความจริงมันกำลังบ่งบอกถึงการยอมรับความเสี่ยงมากกว่าเพื่อทำกำไรอย่างง่ายๆ ซึ่งในเกมของการให้กู้ยืมเงินแล้ว มักจะเป็นสูตรสำเร็จของหายนะในระยะยาวและการประสบความหายนะทางการเงินนั้น ไม่ใช่วิธีที่จะพาใครไปสู่ความร่ำรวยอย่างแน่นอน</div>
<h3>
กำไรต่อหุ้น : วอร์เรน บัฟเฟตต์รู้ได้อย่างไรใครคือผู้ชนะ ใครคือผู้แพ้</h3>
<div>
กำไรต่อหุ้น คือ กำไรสุทธิของบริษัทของแต่ละหุ้นในรอบบัญชีหนึ่ง ซึ่งคือตัวเลขสำคัญในโลกของการลงทุน เพราะกฏมีว่า... ยิ่งบริษัทมีกำไรต่อหุ้นมากเท่าใด ราคาหุ้นก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ในการที่จะทราบว่าบริษัทมีกำไรต่อหุ้นเท่าใดนั้น ให้เรานำกำไรสุทธิของบริษัทมาหารด้วยจำนวนหุ้นที่อยู่ในมือผู้ถือหุ้น (Outstanding share) ของบริษัทตัวอย่างเช่น หากบริษัทมีกำไรสุทธิ $10 ล้าน ในปีนั้นๆ และบริษัทมีหุ้นที่อยู่ในมือผู้ถือหุ้น 1 ล้านหุ้น กำไรต่อหุ้นในปีนั้นก็คือ $10 ดอลลาร์ต่อหุ้น</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ในขณะที่กำไรต่อหุ้นเพียงปีเดียวไม่สามารถนำมาใช้บ่งชี้ว่าบริษัทหนึ่งๆ มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่ แต่กำไรต่อหุ้นในระยะเวลา 10 ปีจะสามารถให้ภาพที่ชัดเจนว่า บริษัทนั้นๆ มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาวหรือไม่ และสิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ค้นหาคือ ภาพกำไรต่อหุ้นในช่วง 10 ปีที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ </div>
<div>
<br /></div>
<div>
อะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกับตัวเลขด้านล่างนี้ </div>
<div>
<br /></div>
<div>
08 $2.95</div>
<div>
07 $2.68</div>
<div>
06 $2.37</div>
<div>
05 $2.17</div>
<div>
04 $2.06</div>
<div>
03 $1.95</div>
<div>
02 $1.65</div>
<div>
01 $1.60</div>
<div>
00 $1.48</div>
<div>
99 $1.30</div>
<div>
98 $1.42</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้วอร์เรน บัฟเฟตต์เห็นว่า บริษัทมีกำไรสม่ำเสมอและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาว ซึ่งเป็นสัญญานดีเยี่ยมที่บ่งว่า บริษัทนี้มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว ปกติแล้วกำไรที่สม่ำเสมอเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า บริษัทกำลังขายผลิตภัณฑ์ตัวเดียวหรือหลายตัวซึ่งไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ อันเป็นงานที่มีค่าใช้จ่ายสูง ส่วนกำไรที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หมายความว่า เศรษฐกิจของบริษัทแข็งแกร่งพอที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างค่าใช้จ่ายเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดด้วยการโฆษณาหรือขยายกิจการ หรือทำวิศวกรรมทางการเงิน เช่น การซื้อหุ้นคืน เป็นต้น ได้</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>บริษัที่วอร์เรน บัฟเฟตต์จะถอยห่างคือ</b> บริษัที่มีภาพกำไรสับสน เอาแน่ไม่ได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<div>
08 $2.50</div>
<div>
07 $(0.45) ขาดทุน</div>
<div>
06 $3.89</div>
<div>
05 $(6.05) ขาดทุน</div>
<div>
04 $6.39</div>
<div>
03 $5.03</div>
<div>
02 $3.35</div>
<div>
01 $1.77</div>
<div>
00 $6.68</div>
<div>
99 $8.53</div>
<div>
98 $5.24</div>
</div>
<div>
</div>
<div>
ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นแนวโน้มที่ต่ำลงสลับกับขาดทุน ซึ่งบอกวอร์เรนให้รู้ว่าบริษัทนี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันที่รุนแรงและมีแนวโน้มที่จะรุ่งหรือจะดับไปเลยก็ได้ บริษัทจะรุ่งเมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทาน แต่เมื่ออุปสงค์มีมาก บริษัทก็จะเพิ่มการผลิตเพื่อตอบสนองซึ่งทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และนำไปสู่ภาวะอุปทานล้นตลาดในที่สุด ภาวะสินค้าล้นตลาดทำให้ราคาตก ซึ่งหมายความว่า บริษัทจะขาดทุนจนกว่าตลาดจะสดใสขึ้นมาอีก มีบริษัทนับพันที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ราคาหุ้นผันผวนอย่างมากเนื่องจากกำไรที่ไม่คงที่ และทำให้นักลงทุนประเภทเน้นคุณค่า (Value Investor) คิดว่าคือโอกาสในการซื้อ แต่ความจริงก็คือ พวกเขากำลังตีตั๋วขึ้นเรือแจวที่ไม่สามารถนำนักลงทุนไปไหนได้ไกล</div>
<div>
<br /></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-35028929620068996512014-03-04T21:33:00.000-08:002014-03-04T21:33:02.853-08:00กำไร (ขาดทุน) กำไรก่อนหักภาษี และภาษีจ่าย<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhY1JKmgF1JcR89Mb9XNVeSl72lKRsQdL0zpbDNHGhhIk2L2-b98YQYQ83yzwX512tiU8bFDmLbbqjLFIbzp12TYyL9SKIo5YTkYOsLRtXQ2aUvU8hJmHE2NnGDtERIvhIkps-s0xajt7xF/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C10.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhY1JKmgF1JcR89Mb9XNVeSl72lKRsQdL0zpbDNHGhhIk2L2-b98YQYQ83yzwX512tiU8bFDmLbbqjLFIbzp12TYyL9SKIo5YTkYOsLRtXQ2aUvU8hJmHE2NnGDtERIvhIkps-s0xajt7xF/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C10.jpg" height="400" width="328" /></a></div>
<h3>
<br /></h3>
<h3>
กำไร (ขาดทุน) จากการขายสินทรัพย์และอื่นๆ </h3>
เมื่อบริษัททำการขายสินทรัพย์ (ที่ไม่ใช่สินค้าคงคลัง) กำไรหรือขาดทุนจากการขายจะได้รับการบันทึกภายใต้ กำไร (ขาดทุน) จากการขายสินทรัพย์ โดยกำไรคือส่วนต่างของเงินที่ได้รับจากการขายและมูลค่าของสินทรัพย์ที่ปรากฏในบัญชีของบริษัท หากบริษัทมีอาคารที่ได้มาในราคา $1 ล้าน หลังจากตัดค่าเสื่อมไปเหลือมูลค่าเพียง $500,000 แล้วขายไป $800,000 บริษัทจะบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์เท่ากับ $300,000 ในทางเดียวกัน หากบริษัทขายอาคารไปในราคา $400,000 เหรียญ บริษัทก็จะบันทึกขาดทุนเท่ากับ $100,000<br />
<br />
สำหรับบัญชีอื่นๆ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ บัญชีนี้คือที่ที่รายได้และค่าใช้จ่ายซึ่งไม่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการ ค่าใช้จ่ายที่ไม่ปกติและไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ได้รับการคำนวณออกมาและบันทึกลงในงบกำไรขาดทุน รายการเหล่านี้รวมถึงการขายสินทรัพย์ถาวร เช่น ที่ดิน โรงงาน และเครื่องจักร ส่วนที่รวมอยู่ในรายการ อื่นๆ อาจมี เช่น การอนุญาติใช้สิทธิ์และการขายสิทธิบัตร หากสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับธุรกิจปกติของบริษัท<br />
<br />
บางครั้งรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็มีนัยสำคัญต่อตัวเลขกำไรขาดทุนของบริษัทเช่่นกัน แต่เนื่องจากมันเป็นรายการที่จะไม่เกิดอีก วอร์เรนจึงเชื่อว่าในการจะตัดสินว่าบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือไม่นั้น รายการเหล่านี้มันไม่ควรนำมาคำนวณรวมในกำไรสุทธิของบริษัท<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOpulKMYamK-aQ0yRB5SQKTtIiSvndeuG6HCS9o81DmB4HHO_Kc56wJC8glV0VK_x6zwgBTHkkjYYkW8QVNpUjq3pDD6zWznfg_HIXdqs1nTbxE5Xn0zO0owafbKc8fDACqjjHpg19KET4/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C11.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgOpulKMYamK-aQ0yRB5SQKTtIiSvndeuG6HCS9o81DmB4HHO_Kc56wJC8glV0VK_x6zwgBTHkkjYYkW8QVNpUjq3pDD6zWznfg_HIXdqs1nTbxE5Xn0zO0owafbKc8fDACqjjHpg19KET4/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C11.jpg" height="320" width="249" /></a></div>
<h3>
<br /></h3>
<h3>
กำไรก่อนหักภาษี : ตัวเลขซึ่งวอร์เรน บัฟเฟตต์ใช้</h3>
กำไรก่อนหักภาษี คือกำไรของบริษัทหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว แต่ยังไม่หักภาษี นี่คืออีกหนึ่งตัวเลขที่วอร์เรนใช้ในการคำนวณผลตอบแทนที่จะได้รับเมื่อเขาซื้อธุรกิจทั้งธุรกิจ หรือซื้อเพียงบางส่วนจากการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์<br />
<br />
นอกจากการลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษีแล้ว ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนทุกรูปแบบจะถูกนำเสนอต่อตลาดในรูปก่อนการหักภาษีและเนื่องจากการลงทุนทุกชนิดจะต้องมีการแข่งขัน ดังนั้น การคิดถึงธุรกิจเหล่านี้ภายใต้เงื่อนไขที่เท่าเทียมกันจึงง่ายกว่า<br />
<br />
<b> เมื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ซื้อพันธบัตรปลอดภาษีมูลค่า $139 ล้านเหรียญ ของวอชิงตัน พับบลิค เพาเวอร์ ซัพพลาย ซิสเต็ม (Washington Public Power Supply System - WPPSS) ซึ่งจ่ายดอกเบี้ยให้เขาปีละ $22.7 ล้านเหรียญ โดยไม่ต้องหักภาษี</b>นั้น เขาให้เหตุผลว่ารายได้หลังหักภาษี $22 ล้านเหรียญ เท่ากับรายได้ก่อนหักภาษี $45 ล้าน ซึ่งปกติการซื้อธุรกิจที่จะทำรายได้ก่อนหักภาษีให้เขา $45 ล้าน เขาต้องจ่ายเงิน $250 ล้าน ถึง $300 ล้าน ดังนั้น เขาจึงมองว่าพันธบัตรของ WPPSS เป็นธุรกิจที่เขาซื้อได้ในราคาส่วนลด 50% เทียบกับมูลค่าของธุรกิจอื่นที่มีเศรษฐกิจเดียวกันซึ่งขายกันอยู่ในตลาด<br />
<br />
วอร์เรนจะพูดถึงรายได้ของบริษัทในรูปรายได้ก่อนหักภาษีเสมอเพราะทำให้เขาสามารถเปรียบเทียบธุรกิจหรือการลงทุนหนึ่งกับอีกธุรกิจหรือการลงทุนอื่นๆได้ หนึ่งในความจริงสำคัญที่วอร์เรนเผยให้เห็นก็คือ บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ความจริงแล้วก็คือ "ตราสารทุน" (Equity bond) ประเภทหนึ่งที่ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเสมอ เราจะท้าการสำรวจทฤษฏีเกี่ยวกับ "ตราสารทุน" ของวอร์เรนอย่างละเอียดขึ้นในครั้งท้าย ๆ ของการตีความงบการเงินนี้<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi31Sp9N4-noqQf5JdH9YVt4OLCykAVB1WQQgHIIyTIHIucUmN47KChAOlAjVVnpSn-rsTeBEQsL9L1oW7oE9glAmomzVOoiD-4C55z3u52GfUj0aVvkrw9N4XS1rDBkxdFBtv9W1fzT_m3/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C12.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi31Sp9N4-noqQf5JdH9YVt4OLCykAVB1WQQgHIIyTIHIucUmN47KChAOlAjVVnpSn-rsTeBEQsL9L1oW7oE9glAmomzVOoiD-4C55z3u52GfUj0aVvkrw9N4XS1rDBkxdFBtv9W1fzT_m3/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C12.jpg" height="400" width="278" /></a></div>
<h3>
<br /></h3>
<h3>
ภาษีจ่าย : วอร์เรนทราบได้อย่างไรว่าใครพูดความจริง</h3>
<div>
เช่นเดียวกันกับผู้เสียภาษีทุกคน บริษัทสัญชาติอเมริกันทุกบริษัทต้องเสียภาษีรายได้ โดยปัจจุบันอัตราภาษีที่ชำระอยู่ที่ประมาณ 35% ของรายได้บริษัท เมื่อมีการจ่ายภาษีจำนวนดังกล่าวจะได้รับการบันทึกลงในงบกำไรขาดทุนภายใต้ <i>ภาษีรายได้ </i>หรือ <i> ภาษีจ่าย</i></div>
<div>
</div>
<div>
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ <i>ภาษีจ่าย </i> ก็คือ มันสะท้อนให้เห็นถึงรายได้ก่อนหักภาษีที่แท้จริงของบริษัท บางครั้งหลายบริษัทชอบอวดโลกว่า ธุรกิจทำเงินมากกว่าที่ทำได้จริง (ช็อคล่ะสิ?) ดังนั้น วิธีหนึ่งที่จะรู้ว่าพวกเขาพูดความจริงหรือไม่ก็คือ ไปดูเอกสารที่ยื่น SEC ว่าพวกเขาเสียภาษีรายได้เท่าไหร่ โดยให้ดูตัวเลขตรงที่ระบุว่า รายได้จากการดำเนินกิจการก่อนหักภาษี แล้วหักออก 35% หากจำนวนที่ได้ไม่เท่ากับจำนวนที่บริษัทระบุไว้ใน <i>ภาษีจ่าย </i> ก็เริ่มสงสัยได้</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>วอร์เรน บัฟเฟตต์เรียนรู้จากประสบการณ์อันยาวนานว่า บริษัmที่วุ่นวายกับการตบตาสรรพากร มักจะพยายามอย่างยิ่งในการตบตาผู้ถือหุ้นด้วยและความงดงามของบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว คือ การที่บริษัททำเงินได้มากจนไม่ต้องสร้างภาพตบตาใคร</b></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-40760353938332972072014-03-04T21:30:00.001-08:002014-03-04T21:30:36.281-08:00ดอกเบี้ยจ่าย การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj519GdEwTvTjNMr9E3n5SRlYC7ir3PpVtBNmKuV2Q0D0xww71CF9g3mZV7NYO70AvI2gMKw2SC_mmsDSGFyWe3yZWORGi9PHXZc4M9dxzt3IV1lzEZeqvvkI4qXSvKbTWx816IZRdutnI5/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C9.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj519GdEwTvTjNMr9E3n5SRlYC7ir3PpVtBNmKuV2Q0D0xww71CF9g3mZV7NYO70AvI2gMKw2SC_mmsDSGFyWe3yZWORGi9PHXZc4M9dxzt3IV1lzEZeqvvkI4qXSvKbTWx816IZRdutnI5/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C9.jpg" height="400" width="378" /></a></div>
<h3>
<br /></h3>
<h3>
ดอกเบี้ยจ่าย : วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ต้องการ </h3>
<div>
ดอกเบี้ยจ่าย คือ ดอกเบี้นที่บริษัทจ่ายออกไประหว่างไตรมาสหรือปี สำหรับหนี้ของบริษัทซึ่งปรากฏในงบดุลในหมวด <i>หนี้สิน </i>ในขณะที่เป็นไปได้ที่บริษัทจะมีรายรับจากดอกเบี้ยมากกว่าที่จ่ายออกไป เช่น ธนาคาร แต่ธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและการขายปลีกส่วนใหญ่มักจะมีดอกเบี้ยจ่ายมากกว่าดอกเบี้ยรับ </div>
<div>
<br /></div>
<div>
ค่าใช้จ่ายนี้เรียกว่าต้นทุนทางการเงิน ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ และจะแยกออกมาเป็นอีกรายการโดดๆ เพราะดอกเบี้ยจ่ายจะไม่ผูกพันกับการผลิตหรือการขาย แต่สะท้อนให้เห็นถึงหนี้ทั้งหมดที่บริษัทมีในบัญชี ยิ่งบริษัทมีหนี้เท่าใด ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็สูงขึ้นเท่านั้น </div>
<div>
<br /></div>
<div>
ในบริษัทที่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงเทียบกับรายได้จากการดำเนินกิจการมีแนวโน้มที่จะเป็น 1 ใน 2 ประเภทนี้ คือ : เป็นบริษัทซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันรุนแรง ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนสูงเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ หรือเป็นบริษัทที่มีเศรษฐกิจของธุรกิจยอดเยี่ยมซึ่งมีหนี้จากการซื้อกิจการด้วยเงินกู้</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>สิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ค้นพบก็คือ บริษัที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนมักจะมีดอกเบี้ยจ่ายน้อยหรือไม่มีเลย พร็อคเตอร์แอนก์แกมเบิล บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวมีดอกเบี้ยจ่ายเพียง 8% ของ</b>รายได้จากการดำเนินกิจการเท่านั้น ในขณะที่ริกลี่ย์มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เฉลี่ย 7% ตรงกันข้ามกับกู๊ดเยียร์ซึ่งอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและเป็นธุรกิจที่มีการลงทุนสูง ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเฉลี่ยสูงถึง 49% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
แม้แต่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงเช่นธุรกิจสายการบิน ตัวเลขดอกเบี้ยที่จ่ายออกไปจากรายได้จากการดำเนินกิจการก็สามารถนำมาบ่งชี้บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันได้ด้วยเช่นกัน สายการบินเซาธ์เวสท์ที่มีกำไรสม่ำเสมอ มีดอกเบี้ยจ่ายเพียง 9% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ ในขณะที่สายการบินยูไนเต็ดคู่แข่งที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่เสมอ มีดอกเบี้ยจ่ายถึง 61% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ และสายการบินอเมริกันคู่แข่งอีกหนึ่งของเซาธ์เวสท์ซึ่งมีปัญหารุมเร้าอยู่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงถึง 92% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นกฏว่า ... บริษัทในกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนซึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ลงทุนอยู่ทั้งหมดต้องมีดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่า 15% ของรายได้จากการดำเนินกิจการทั้งสิ้นอย่างไรก็ตาม ร้อยละของดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้จากการดำเนินกิจการของแต่ละอุตสาหกรรมสามารถมีความแตกต่างกันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เวลส์ ฟาร์โก ธนาคารซึ่งวอร์เรนถือหุ้นอยู่ 14% จ่ายดอกเบี้ยประมาณ 30% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ ซึ่งดูเหมือนสูง เมื่อเทียบกับโค้ก แต่ความเป็นจริงแล้วกลับทำให้เวลส์ ฟาร์โกเป็นธนาคารดีที่สุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของอเมริกา ซึ่งมีอัราส่วนการจ่ายดอกเบี้ยต่ำที่สุดและน่าสนใจที่สุด นอกจากนี้ เวลส์ ฟาร์โกยังเป็นธนาคารเดียวที่มีความมั่นคงระดับ AAA จากการจัดอันดับของสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์สด้วย</div>
<div>
<br /></div>
<div>
อัตราส่วนของดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้จากการดำเนินกิจการยังเป็นตัวบ่งชี้อย่างดีถึงระดับความอันตรายของเศรษฐกิจที่บริษัทจัดอยู่ด้วย ตัวอย่างเช่น ธนาคารวาณิชธนกิจซึ่งมีดอกเบี้ยจ่ายราว 70% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ คนที่มีสายตาละเอียดจะเน้นว่า ในปี 2006 แบร์ สเติร์นส์ รายงานว่าบริษัทมีดอกเบี้ยจ่าย 70% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ แต่เมื่อถึงไตรมาสสิ้นสุด ณ เดือนพฤศจิกายน 2007 อัตราการจ่ายดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินกิจการได้กระโดยสูงขึ้นถึง 230% ซึ่งหมายความว่า บริษัทต้องนำเงินจากส่วนผู้ถือหุ้นมาโปะตรงส่วนต่างนี้ การทำเช่นนี้ในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูงเช่น แบร์ สเติร์นส์ หมายถึงหายนะ และเพียงเดือนมีนาคม 2008 แบร์ สเติร์นที่เคยยิ่งใหญ่ ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 ปี มีราคาซื้อขายในตลาดสูงถึง $170 เหรียญต่อหุ้น ก็ถูกบังคับให้ควบรวมกับเจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค ในราคาเพียงหุ้นละ $10 เหรียญเท่านั้น</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b> กฏในบทนี้ธรรมดามาก : ในทุกอุตสาหกรรม บริษัทที่มีอัตราส่วนดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้การดำเนินธุรกิจต่ำที่สุดมักจะเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน และในโลกของวอร์เรน บัฟเฟตต์ การลงทุนในบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน เป็นหนทางเดียวที่สามารถรับรองได้ว่าจะนำไปสู่ความร่ำรวยได้ในระยะยาว</b></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-21127159156820835422014-03-04T21:28:00.004-08:002014-03-04T21:28:54.344-08:00ค่าใช้จ่ายในการวิจัยพัฒนาและค่าเสื่อมราคา การตีความงบการเงิน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwXTbZGgQvxkOwQRQgj-ewgu_rzIfCjCuAAb9udW8zBTLrvpPikkam3arLp-0NI24v3JuDY_ppzVtEX99kcFr9stT2kWFN96tHUKLkwBH8ecc_kOqxHnwuhz-T6KUO6k-RTcO_KQr0GO_u/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C7.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjwXTbZGgQvxkOwQRQgj-ewgu_rzIfCjCuAAb9udW8zBTLrvpPikkam3arLp-0NI24v3JuDY_ppzVtEX99kcFr9stT2kWFN96tHUKLkwBH8ecc_kOqxHnwuhz-T6KUO6k-RTcO_KQr0GO_u/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C7.jpg" height="391" width="400" /></a></div>
<h3>
<br /></h3>
<h3>
การวิจัยและพัฒนา : ทำไมวอร์เรน บัฟเฟตต์จึงถอยห่าง</h3>
<div>
นี่คือค่าใช้จ่ายสำคัญเมื่อจะค้นหาบริษัที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความได้เปรียบในระยะยาวของบริษัทมักจะเป็นข้อได้เปรียบซึ่งบริษัทได้จากลิขสิทธิบัตรหรือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่หากบริษัทมีข้อได้เปรียบจากลิขสิทธิ์เช่น บริษัทยา ฎ จุดหนึ่งสิทธิบัตรจะหมดอายุ และความได้เปรียบของบริษัทก็จะหมดไป</div>
<div>
หากความได้เปรียบของบริษัทเป็นผลจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีบางอย่าง ความน่ากลัวคือ เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาแทนที่ นี่เป็นสาเหตุที่ทำไมไมโครซอฟท์จึงกลัวความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของกูเกิ้ลหนักหนา ...เพราะความได้เปรียบในวันนี้อาจเป็นความล้าสมัยในวันพรุ่งนี้ได้</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ไม่เพียงแต่บริษัทเหล่านี้ต้องใช้จ่ายเงินมหาศาลกับการวิจัยและพัฒนาเท่านั้น แต่พวกเขายังต้องประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ออกแบบผลิตภัณฑ์ใใหม่ และปรับแผนการขายอยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขายและการบริหารสูงมากด้วย เราจะมาพิจารณาบริษัทเหล่านี้กัน : บริษัทยา เมิร์ค ต้องใช้ 29% ของกำไรขั้นต้นในการวิจัยและพัฒนา และ 49% ของกำไรขั้นต้นกับค่าใช้จ่ายในการขาย/ทั่วไป/และบริหาร (SGA) ซึ่งรวมกันแล้วกินกำไรขั้นต้นไปถึง 78% ยิ่งกว่านั้นหากเมิร์คไม่สามารถพัฒนายาตัวใหม่ที่สามารถขายได้หลายพันล้านเหรียญ บริษัทก็จะสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันเมื่อสิทธิบัตรยาที่มีอยู่หมดอายุลงด้วย</div>
<div>
<br /></div>
<div>
อินเทล ผู้นำด้านเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต้องใช้เงิน 30% ของกำไรขั้นต้นกับการวิจัยและพัฒนาอย่างสม่ำเสมอหาไม่แล้วบริษัทก็จะสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันในเวลาเพียงสองสามปีเท่านั้น </div>
<div>
<br /></div>
<div>
มูดีส์ บริษัทจัดอันดับพันธบัตร เป็นบริษัทคู่ใจของวอร์เรน บัฟเฟตต์ มานานด้วยเหตุผลที่ดี คือ มูดี้ส์ไม่มีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา และมีค่า SGA เพียง 25% ของกำไรขั้นต้นเท่านั้น โคคา-โคล่าซึ่งไม่มีค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาเช่นกัน แต่ต้องโฆษณาสินค้าอย่างบ้าคลั่ง เฉลี่ยแแล้วมีค่า SGA เพียง 59% ของกำไรขั้นต้นเท่านั้น กับบริษัทเช่นมูดี้ส์และโคคา - โคล่า วอร์เรนไม่ต้องนอนตาโพลงตลอดคืนด้วยความกังวลว่า สิทธิบัตรยากำลังจะหมดอายุ หรือว่าเทคโนโลยีใหม่ของบริษัทจะไม่ชนะในการแข่งขันรอบต่อไป </div>
<div>
<br /></div>
<div>
และนี่คือกฏของวอร์เรน : บริษัทที่ต้องใช้จ่ายเงินจำนวนมากในการวิจัยและพัฒนา มีข้อด้วยแฝงอยู่ในความได้เปรียบในการแข่งขัน ที่จะทำให้เศรษฐกิจระยะยาวของธุรกิจมีความเสี่ยงอยู่เสมอ ซึ่งหมายความว่าความได้เปรียบนั้นไม่ใช่ "ของตาย" และอะไรที่ไม่ใช่ของตาย วอร์เรนไม่สนใจเด็ดขาด</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvVH5iG09LdNEVWULp45jSudx8Op_5rhn2moVRa9VXLihw0yke_JlC-DUW4JXPG3fxS31cY3b6u-Z7A6hIYe5030jgXkfd9W-hETGkIKIjdoaA0HbY71F7ejbnYZT_Ksi7weUWPX4cDhAc/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C8.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvVH5iG09LdNEVWULp45jSudx8Op_5rhn2moVRa9VXLihw0yke_JlC-DUW4JXPG3fxS31cY3b6u-Z7A6hIYe5030jgXkfd9W-hETGkIKIjdoaA0HbY71F7ejbnYZT_Ksi7weUWPX4cDhAc/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C8.jpg" height="400" width="400" /></a></div>
<br /></div>
<h3>
ค่าเสื่อมราคา : ต้นทุนที่วอร์เรน บัฟเฟตต์มิอาจเพิกเฉย </h3>
<div>
เครื่องจักรทุกตัว อาคารทุกหลัง ล้วนต้องชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และความชำรุดทรุดโทรมนี้จะปรากฏในงบกำไรขาดทุนในรูปของ ค่าเสื่อมราคา โดยทั่วไป จำนวนเงินที่เสื่อมไปในช่วงปีหนึ่งของสิ่งใดก็ตาม คือค่าใช้จ่ายที่จัดสรรตามรายรับในปีนั้น ซึ่งนับว่ามีเหตุผลดี เพราะว่าค่าความเสื่อมของสินทรัพย์ สามารถพูดได้ว่าเกิดจากการใช้สินทรัพย์นั้นๆ ในกิจกรรมของธุรกิจซึ่งก่อให้เกิดรายรับ</div>
<div>
</div>
<div>
ตัวอย่างเช่น : ให้เรานึกถึงภาพบริษัท XYZ การพิมพ์ ซึ่งซื้อแท่นพิมพ์ราคา 1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมี่อายุการใช้งาน 10 ปี เนื่องจากอายุใช้งาน 10 ปี สรรพากรจะไม่ยอมให้บริษัทตัดค่าใช้จ่ายทั้งหมด $1 ล้านในปีที่ซื้อปีเดียว แต่ต้องกระจายค่าแท่นพิมพ์ออกเป็นเวลา 10 ปีตามที่ใช้งานด้วยอายุการใช้งานของแท่นพิมพ์ 10 ปี และต้นทุนแรกเริ่ม $1 ล้าน หมายความว่า บริษัท XYZ จะต้องตัดค่าเสื่อมราคาของแท่นพิมพ์ในอัตรา $100,000 ต่อปี ค่าเสื่อมราคาคือต้นทุนจริงในการทำธุรกิจ เพราะว่า ณ จุดหนึ่งในอนาคต แท่นพิมพ์นี้จะต้องถูกปลดระวางและมีแท่นใหม่มาแทน </div>
<div>
<br /></div>
<div>
การซื้อแท่นพิมพ์นี้จะปรากฏในงบดุล คือ บัญชี เงินสด จะถูกหักออก $1 ล้าน ไปปรากฏเพิ่มที่บัญชี โรงงานและเครื่องจักร $1 ล้าน จากนั้นในอีก 10 ปีข้างหน้า คือเสื่อมราคา $100,000 ต่อปี จะปรากฏเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน ส่วนในงบดุล แต่ละปี $100,000 จะถูกหักจากส่วนสินทรัพย์ในรายการ โรงงานแลเครื่องจักร ในขณะที่ในส่วนหนึ่้สิน ค่าเสื่อมราคาสะสม จะเพิ่มขึ้น $100,000 จำนวนเงินสด $1 ล้าน เหรียญ ที่ใช่้ไปจริงในการซื้อแท่นพิมพ์จะไปปรากฏในงบกระแสเงินสดในรายการ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุน เราขอย้ำว่าค่าแท่นพิมพ์ 1 ล้านเหรียญ ไม่ได้ถูกหักเป้นค่าใช้จ่ายในปีที่ซื้อทั้งหมด แต่กระจายออกเป็นค่าเสื่อมราคาในงบกำไรขาดทุนปีละ $100,000 ทบกับเป็นเวลา 10 ปี</div>
<div>
<br /></div>
<div>
การทำเช่นนี้ทำให้พ่อมดการเงินชาววอลล์สตรีททั้งหลายได้กลอุบายบางอย่าง คือ พวกเขาพบว่าทันทีที่มีการซื้อแท่นพิมพ์และจ่ายเงินเรียบร้อย จะไม่มีการจ่ายเงินสดให้กับค่าเสื่อมราคาปีละ $100,000 อีก แต่มันยังคงทำให้รายได้ที่รายงานต่อสรรพากรลดลงทุกปีเป็นเวลา 10 ปี ซึ่งหมายความว่า เมื่อมองในระยะสั้น บริษัท XYZ มีค่าใช้จ่ายประจำปี แต่ในความเป็นจริงค่าใช้จ่ายเงินสดไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย ด้วยเหตุนี้ พ่อมดการเงินชาววอลล์สตรีทจึงสามารถเพิ่มค่าใช้จ่าย $100,00 กลับเข้าไปในรายได้ ซึ่งหมายความว่ากระแสเงินสดของธุรกิจในตอนนี้สามารถรองรับหนี้สินสำหรับการซื้อธุรกิจด้วยเงินกู้ (leveraged buyout) ของนักเก็งกำไรได้ วอลล์สตรีทมีตัวย่อสำหรัรบการคำนวณรายได้เหล่านี้กลับไปใหม่ว่า EBITDA ซึ่งมาจาก Earnings Before Income Taz,Depreciation, and Amortization หรือ รายได้ก่อนหักภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย<br />
<br />
วอร์เรน บัฟเฟตต์บอกว่าเมื่อชาววอลล์สตรีทหัวใสนำ EBITDA มาใช้โดยไม่สนใจว่าในที่สุดแท่นพิมพ์นั้นจะชำรุดจนใช้ไม่ได้อีกต่อไป และบริษัทจะต้องหาเงินอีก $1 ล้านเหรียญ มาซื้อแท่นใหม่ แต่บริษัทกลับมีภาระหนี้สินก้อนโตที่มาจากการซื้อธุรกิจด้วยเงินกู้ ทำให้ไม่มีความสามารถในการจ่ายเงิน $1 ล้าน เพื่อซื้อแท่นพิมพ์ใหม่อีก<br />
<br />
วอร์เรน บัฟเฟตต์เชื่อว่าค่าเสื่อมราคาเป็นค่าใช้จ่ายจริง และต้องถูกนำมารวมในการคำนวณหารายได้เสมอ หากไม่เช่นนั้นแล้ว เท่ากับเรากำลังหลอกตัวเองในระยะสั้นให้เชื่อว่า ธุรกิจกำลังทำรายได้มากกว่าความเป็นจริง และไม่มีใครรวยขึ้นมาจากการหลอกตัวเองได้<br />
<br />
สิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ได้พบก็คือ บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนมีแนวโน้มที่จะมีค่าเสื่อมราคาเมื่อเทียบเป็นอัตราร้อยละกับกำไรขั้นต้นต่ำกว่าบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันรุนแรง ตัวอย่างเช่น โคคา-โคล่าซึ่งมีค่าเสื่อมราคาประมาณ 6% ของกำไรขั้นต้นอย่างสม่ำเสมอ และริกลี่ย์ บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนอีก 1 บริษัทก็อยู่ที่ประมาณ 7% เช่นกัน ในขณะที่พร็อคเตอร์แอนด์แกมเบิลบริษัทคู่ใจของวอร์เรนมานานอีกแห่งมีรค่าใช้จ่ายนี้ประมาณ 8% ...ตรงกันข้ามกับจีเอ็ม ซึ่งอยู่ในธุรกิจที่ต้องมีการลงทุนสูงและมีการแข่งขันสูงซึ่งมีค่าเสื่อมราคาอยู่ที่ระหว่าง 22% ถึง 57% ของกำไรขั้นต้น<br />
<br />
เช่นเดียวกับค่าใช้จ่ายทุกชนิดที่กัดกร่อนกำไรขั้นต้นของบริษัท วอร์เรน บัฟเฟตต์พบว่า ยิ่งน้อยตัวเลขของกำไรที่ปรากฏในบรรทัดสุดท้ายของงบก็จะยิ่งมากเสมอ<br />
<br /></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-24938260150558706192014-03-04T21:27:00.000-08:002014-03-04T21:27:08.747-08:00ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ การขาย และการบริหาร การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์<h3>
</h3>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYOiLc4AlCl37BX2aQ3LAPBE6uj6jijkret53yvlPOMddn9khw3qmlgsbV_jQzlpq0mK3mp5lYTEcTSFRbh6oL_fYXO1zsFB1vASI5UOIDO6kWUVR4HRrQ3Zc4BLx-biYZq7DDa5iXYhDV/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C5.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhYOiLc4AlCl37BX2aQ3LAPBE6uj6jijkret53yvlPOMddn9khw3qmlgsbV_jQzlpq0mK3mp5lYTEcTSFRbh6oL_fYXO1zsFB1vASI5UOIDO6kWUVR4HRrQ3Zc4BLx-biYZq7DDa5iXYhDV/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C5.jpg" height="388" width="400" /></a></div>
<h3>
<br /></h3>
<h3>
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ : วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะจับตาดูอย่างระมัดระวัง</h3>
<div>
แถวถัดลงมาจากกำไรขั้นต้นในงบกำไรขาดทุน คือกลุ่มของค่าใช้จ่ายซึ่งเรียกว่า ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้คือค่าใช้จ่ายสำคัญเกี่ยวกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารงาน ค่าใช้จ่ายในการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย ค่าปรับปรุงโครงสร้างและการด้อยค่าของทรัพย์สิน และค่าใช้จ่าย "อื่นๆ" ซึ่งรวมค่าใช้จ่ายจิปาถะต่างๆ ทั้งค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่จากการดำเนินกิจการ และค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว</div>
<div>
<br /></div>
<div>
รายการเหล่านี้รวมกันเป็น "รวมค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ" ของบริษัท ซึ่งจะนำมาหักออกจากกำไรขั้นต้นเพื่อที่จะได้ตัวเลขกำไรหรือขาดทุนจากการดำเนินกิจการของบริษัท เนื่องจากรายการเหล่านี้ทุกรายการล้วนมีผลกระทบต่อธรรมชาติของเศรษฐกิจของธุรกิจในระยะยาว เราจะมาดูรายการเหล่านี้ทีละรายการอย่าเจาลึกตามสไตล์ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กันต่อไป</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFgs8ptj-2sjvm-A6DY9oBvyWk1XwLaEFvinamZNI0l3o-l6_noEn1U5fT9NKsM368RNbDNzu2k2ahc3fituxCTTKHAhLl1lyrkoEwBE09kXQ6Bp8byjDc3uG1Gkofc-nqS7QzoKrvTK5x/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C6.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFgs8ptj-2sjvm-A6DY9oBvyWk1XwLaEFvinamZNI0l3o-l6_noEn1U5fT9NKsM368RNbDNzu2k2ahc3fituxCTTKHAhLl1lyrkoEwBE09kXQ6Bp8byjDc3uG1Gkofc-nqS7QzoKrvTK5x/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C6.jpg" height="386" width="400" /></a></div>
<br /></div>
<h3>
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย, ทั่วไป และการบริหาร </h3>
<div>
ในงบกำไรขาดทุน ภายใต้หัวข้อ ค่าใช้จ่ายในการขาย (Selling), ทั่วไป (General), และการบริหาร (Administrative Expense) หรือ SGA ที่ซึ่งบริษัทรายงานค่าใช้จ่ายในการขาย ค่าใช้จ่ายทั่วไป และค่าใช้จ่ายในการบริหารทั้งที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือโดยอ้อม ในรอบบัญชีนั้นๆ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้รวมถึง เงินเดือนของผู้บริหาร ค่าโฆษณา ค่าเดินทาง ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับกฏหมาย ค่าคอมมิสชั่น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเงินเดือนทั้งหมด และอื่นๆ </div>
<div>
<br /></div>
<div>
ในบริษัทเช่นโคคา-โคล่า ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจสูงเป็นพันล้านและมีผลกระทบมหาศาลต่อกำไรสุทธิของบริษัท หากคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละต่อกำไรขั้นต้นแล้ว ตัวเลขค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในแต่ละธุรกิจจะต่างกันอย่างมาก แม้แต่ในระหว่างบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนแบบโคคา -โคล่า ตัวเลขค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็ยังแตกต่างกัน โคคา-โคล่า มีตัวเลขค่าใช้จ่าย SGA เฉลี่ย 59% ของกำไรขั้นต้นอย่างสม่ำเสมอ บริษัทอย่างมูดี้ส์มีตัวเลขเฉลี่ยที่ 25% อย่างสม่ำเสมอ และพร็อคเตอร์แอนด์แกมเบิลอยู่ที่ราว 61% อย่างสม่ำเสมอ ณ จุดนี้ คำว่า "สม่ำเสมอ" คือหัวใจสำคัญ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
บริษัทที่ไม่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนจะได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่รุงแรง และมีตัวเลขค่าใช้จ่าย SGA ต่างกันอย่างมากเมื่อเทียบเป็นอัตราร้อยละต่อกำไรเบื้องต้น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จีเอ็มมีค่า SGA เพิ่มจาก 28% เป็น 83% ฟอร์ดมีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ในช่วง 5 ปีตั้งแต่ 83% ถึง 780% ซึ่งหมายความว่าบริษัทกำลังสูญเสียเงินอย่างใหญ่หลวง ปัญหาของบริษัทก็คือเมื่อยอดขายเริ่มตก ซึ่งหมายความว่ารายได้ตกลงด้วย แต่ค่าใช้จ่ายในการขายทั่วไป และการบริหารยังคงอยู่ หากบริษัทไม่สามารถตัดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้เร็วพอ กำไรเบื้องต้นจะเริ่มถูกกินลึกลงไปเรื่อยๆ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b>ในการค้นหาบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายการขาย ทั่วไป และการบริหารยิ่งต่ำจะยิ่งดี</b> และหากสามารถคงความต่ำอย่างสม่ำเสมอก็จะดียิ่งขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม มีบริษัทจำนวนหนึ่งที่มีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันอย่างยั่งยืน แต่มีค่า SGA อยู่ในระหว่าง 30% ถึง 80% ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากเราเห็นบริษัทที่มีค่า SGA ใกล้เคียง หรือมากกว่า 100% ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมายความว่าเรากำลังเล่นอยู่กับบริษัทซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูงมาก ทำให้ไม่มีบริษัทใดสามารถมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนได้</div>
<div>
<br /></div>
<div>
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายการขาย ทั่วไป และบริหารต่ำหรือปานกลาง แต่ทำลายเศรษฐกิจของธุรกิจในระยะยาวที่ดีเยี่ยมของตนด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาลในการค้นคว้าพัฒนา ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนและ/หรือค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยกับหนี้ก้อนโตด้วย</div>
<div>
<br /></div>
<div>
อินเทลคือตัวอย่างที่ดีมากของบริษัที่มีอัตราร้อยละของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย ทั่วไป และบริหาร ต่อกำไรขั้นต้นในระดับต่ำ แต่เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการค้นคว้าพัฒนาสูง ทำให้เศรษฐกิจระยะยาวของธุรกิจลดต่ำเหลือเพียงปานกลางเท่านั้น แต่ถ้าหากอินเทลหยุดค้นคว้าวิจัย ผลิตภัณฑ์รุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบันก็จะล้าสมัยใน 10 ปีข้างหน้าและต้องเลิกธุรกิจ </div>
<div>
<br /></div>
<div>
ยางกู๊ดเยี่ยร์มีอัตราร้อยละค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขาย ทั่วไป และบริหารต่อกำไรขั้นต้น 72% แต่ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนและดอกเบี้ย (จากหนี้ซึ่งนำมาชำระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุน) ฉุดให้ผู้ผลิตยางรายนี้ขาดทุนทุกครั้งที่เศรษฐกิจถดถอย แต่ถ้าหากว่ากู๊ดเยี่ยร์ไม่สร้างหนี้เพื่อนำไปชำระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนและปรับปรุงบริษัท กู๊ดเยียร์ก็ไม่อาจคงความสามารถในการแข่งขันได้นาน</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b> วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียนรู้ที่จะอยู่ห่างจากบริษัทต้องสาปด้วยค่าใช้จ่ายการขาย ทั่วไป และบริหารสูงอย่างสม่ำเสมอ</b> เรายังรู้อีกว่าเศรษฐกิจของบริษัทที่มีค่า SGA ต่ำ สามารถถูกทำลายลงด้วยค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับทุนที่สูง และ/หรือหนี้ก้อนโต วอร์เรน บัฟเฟตต์จะหลีกเลี่ยงธุรกิจประเภทนี้ไม่ว่าราคาจะเท่าใดก็ตาม เพราะเขาทราบว่าเศรษฐกิจในระยะยาวของบริษัทเหล่านี้จะแย่มากโดยธรรมชาติ ที่แม้แต่ราคาขายถูกๆ ก็ไม่ทำให้นักลงทุนรอดพ้นจากผลประกอบการ "งั้นๆ" ตลอดอายุขัยของธุรกิจได้</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-74419747224565435482014-03-04T21:25:00.001-08:002014-03-04T21:25:23.474-08:00กำไรขั้นต้น / ส่วนต่างกำไรขั้นต้น การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6nH-TYk8MEjtbW3EvMHrb45c-QlwohSLP9rxbnuxkeKuORcNG2ylf7-4Uwyy9KQij_ybG082yTiimfCpsk0U6GN3YEXj8Pzt_1mpC5NUUj23aAmhUqhnfehwnIumlRaRAMeOo2tMFPFkz/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C4.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi6nH-TYk8MEjtbW3EvMHrb45c-QlwohSLP9rxbnuxkeKuORcNG2ylf7-4Uwyy9KQij_ybG082yTiimfCpsk0U6GN3YEXj8Pzt_1mpC5NUUj23aAmhUqhnfehwnIumlRaRAMeOo2tMFPFkz/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C4.jpg" height="263" width="400" /></a></div>
<h3>
<br /></h3>
<h3>
กำไรขั้นต้น/ส่วนต่างกำไรขั้นต้น ตัวเลขสำคัญสำหรับวอร์เรนในการค้นหาขุมทองในระยะยาว</h3>
<div>
ตอนนี้หากเรานำตัวเลขที่บริษัทรายงานว่าคือ ต้นทุนสินค้าขายมาหักจากยอด รวมรายได้ ของบริษัท เราจะได้กำไรขั้นต้น ตัวอย่าง เช่น : ยอดรวมรายได้ $10 ล้าน ลบต้นทุนสินค้าขาย $7 ล้าน เท่ากับกำไรขั้นต้น $3 ล้าน</div>
<div>
<br /></div>
<div>
กำไรขึ้นต้น คือเงินที่บริษัททำได้จากรายได้ขั้นต้นหลังจากหักต้นทุนของวัตถุดิบและแรงงานที่ใช้ในการทำสินค้าแล้ว แต่ยังไม่รวมค่าใช้จ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร ค่าเสื่อมราคา และต้นทุนของดอกเบี้ยในการดำเนินธุรกิจ </div>
<div>
<br /></div>
<div>
ตัวเลขกำไรขั้นต้นเพียงตัวเดียวบอกอะไรได้น้อยมาก แต่เราสามารถนำตัวเลขนี้มาคำนวณส่วนต่างกำไรขั้นต้นของบริษัท ซึ่งจะบอกให้เราได้ทราบอะไรบางอย่างเกี่ยวกับธรรมชาติของเศรษฐกิจของบริษัทนั้นๆ ได้อย่างดี สมการในการหาส่วนต่างกำไรขั้นต้น คือ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<b><i> กำไรขั้นต้น / ยอดรวมรายได้ = ส่วนต่างกำไรขั้นต้น </i></b></div>
<div>
<b><i><br /></i></b></div>
<div>
<b style="font-style: italic;"> </b> <b>สำหรับวอร์เรน บัฟเฟตต์ สิ่งที่เขามองหาคือ บริษัที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนบางอย่าง หรือธุรกิจที่เขาสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว</b> และสิ่งที่เขาพบก็คือ บริษัทที่มีเศรษฐกิจยอดเยี่ยมที่ได้เปรียบในระยะยาวมักจะมีส่วนต่างกำไรขั้นต้นสูงอย่าง <b>สม่ำเสมอ </b>กว่าบริษัทอื่น เราจะยกตัวอย่างใหคุณดู</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ส่วนต่างรายได้ขั้นต้นของบริษัทที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ บ่งชี้แล้วว่ามีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนรวมถึง : โคคา - โคล่า ซึ่งมีส่วนต่างกำไรขั้นต้น 60% หรือมากกว่าให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ บริษัทจัดอันดับพันธบัตรมูดี้ส์ มีส่วนต่าง 73% เดอะ เบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ เรลเวย์ 61% และบริษัทเคี้ยวมันอย่างหมากฝรั่งริกลี่ย์ 51% </div>
<div>
<br /></div>
<div>
จากการเปรียบเทียบธุรกิจชั้นยอดเหล่านี้กับบริษัทอื่นๆ ทำให้เราทราบถึงความแตกต่าง บริษัทที่มีเศรษฐกิจของธุรกิจไม่ดีนักในระยะยาว เช่น สายการบินยูไนเต็ด ที่ล้มละลายฟื้นๆ ฟุบๆ เป็นประจำ มีส่วนต่างกำไรขั้นต้น 14% บริษัทผลิตรถยนต์เจนเนอรัล มอเตอร์สที่กำลังประสบปัญหาทำได้ 21% แบบหืดขึ้นคอ, ยูเอส สตีล บริษัทซึ่งเริ่มทำกำไรได้แล้วแต่ยังไม่แข็งแกร่งนักมี 17% และยางกู๊ดเยียร์ ที่วิ่งได้ในทุกสภาพอากาศ แต่ในเศรษฐกิจที่ไม่ดีนักเริ่มวิ่งไม่ออก มีตัวเลขที่ไม่น่าประทับใจนักที่ 20% </div>
<div>
</div>
<div>
ธุรกิจเทคโนโลยีคือธุรกิจที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ขออยู่ห่างๆ เพราะว่าเขาไม่เข้าใจ แม้ไมโครซอฟท์จะมีส่วนต่างกำไรขั้นต้นสม่ำเสมอสูงถึง 79% ขณะที่แอปเปิ้ลอยู่ที่ 33% ตัวเลขร้อยละนี้ชี้ให้เห็นว่า ไม่โครซอฟท์มีเศรษฐกิจที่ดีกว่าจากการขายระบบปฏิบัติการและซอฟแวร์ เทียบกับแอปเปิ้ลซึ่งขายฮาร์ดแวร์และบริการ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
สิ่งที่สร้างส่วนต่างกำไรขั้นต้นสูงให้กับบริษัทคือ ความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน ซึ่งทำให้บริษัทมีอิสระในการกำหนดราคาผลิตภัณฑ์และบริการที่จำหน่ายสูงกว่าต้นทุนสินค้าขายได้มาก หากไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน บริษัทจะต้องต่อสู้กับคู่แข่งด้วยการลดราคาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ขาย ซึ่งทำให้ส่วนต่างกำไรและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลดลงด้วยอย่างแน่นอน</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ดังนั้น จึงเป็นกฏธรรมดามาก (และมีข้อยกเว้น) ว่า : บริษัทซึ่งมีส่วนต่างกำไรขั้นต้น 40% หรือมากกว่า มีแนวโน้มที่จะเป็นบริษัทที่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนประการใดประการหนึ่ง ในขณะที่บริษัทที่มีตัวเลขน้อยกว่า 40% มีแนวโน้มที่จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งการแข่งขันส่งผลกระทบต่อส่วนต่างกำไรโดยรวม (นี่ก็มีข้อยกเว้นด้วยเช่นกัน) ส่วนต่างกำไรขั้นต้น 20% หรือน้อยกว่า มักเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีว่าอุตสาหกรรมนั้นๆ มีการแข่งขันที่ดุเดือด และไม่มีบริษัทใดในอุตสาหกรรมนี้ที่สามารถสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ยั่งยืนเหนือคู่แข่งได้ และบริษัทในอุตสหกรรมที่มีการแข่งขันสูงซึ่งไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันใดๆ ไม่มีวันจะทำให้เรารวยได้ในระยะยาว </div>
<div>
<br /></div>
<div>
ในขณะที่ส่วนต่างกำไรขั้นต้นไม่ได้เป็นหลักประกันว่าบริษัทจะรอบพ้นจากความล้มเหลว แต่ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ตัวแรกๆ ว่าบริษัทมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนและมีความสม่ำเสมอ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เน้นคำว่า<b> "ยั่งยืน" </b>เป็นอย่างมาก ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย เราจึงควรตรวจสอบตัวเลขส่วนต่างกำไรขั้นต้นของบริษัทในช่วง 10 ปีล่าสุด เพื่อความมั่นใจว่าบริษัทมีความ "สม่ำเสมอ" วอร์เรนทราบว่า เมื่อเราจะค้นหาบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน "ความสม่ำเสมอ" คือหัวใจของเกมนี้</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ตอนนี้เราจะพูดถึงสาเหตุหลายประการที่ทำให้บริษัทซึ่งมีส่วนต่างผลกำไรสูงหลงทาง ทำให้บริษัทสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว </div>
<div>
<ol>
<li><b>คือต้นทุนการค้นคว้าที่สูงลิ่ว</b></li>
<li><b>บริษัทมีต้นทุนการขายและการบริหารสูง</b></li>
<li><b>ต้นทุนดอกเบี้ยจากหนี้ของบริษัทสูง </b></li>
</ol>
ค่าใช้จ่าย 1 ใน 3 ตัวนี้สามารถทำความเสียหายให้กับเศรษฐกิจของธุรกิจได้ในระยะยาว ต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายเหล่านี้เรียกว่า <i><b>ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ</b></i> ซึ่งเป็นเสมือนหนามยอกอกของทุกธุรกิจ</div>
<div>
<br /></div>
<div>
<br /></div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-89524288141224385622014-03-04T21:23:00.001-08:002014-03-04T21:23:17.829-08:00รายได้ และต้นทุนขาย การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkiHl-UUfHuehT6nV-zIXYrT3oszVdyn2L43nxOKZ-J4XnYF7lR7qiR88bbYnV5c-1y3ac0g7jrMNEYuLV-g1O6D_Lv9AnyshbxUManG6l5u5EmHl_PDPQ9EzOrQSdKmKmYotg6Kwz_oTB/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgkiHl-UUfHuehT6nV-zIXYrT3oszVdyn2L43nxOKZ-J4XnYF7lR7qiR88bbYnV5c-1y3ac0g7jrMNEYuLV-g1O6D_Lv9AnyshbxUManG6l5u5EmHl_PDPQ9EzOrQSdKmKmYotg6Kwz_oTB/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C2.jpg" height="231" width="400" /></a></div>
<br />
<h3>
รายได้ : ที่ซึ่งเงินเข้า</h3>
<div>
บรรทัดแรกในงบกำไรขาดทุนจะเป็น ยอด รวมรายได้หรือรายได้ขั้นต้น ซึ่งคือจำนวนเงินที่เข้ามาในบริษัทในช่วงเวลาหนึ่งๆ ซึ่งอาจเป็นไตรมาสหรือปี หากเราผลิตรองเท้า และขายรองเท้าได้ $120 ล้าน ในปีนั้น งบกำไรขาดทุนของเราจะรายงานว่า ยอด <i>รวมรายได้</i> เท่ากับ 120 ล้าน สำหรับปีนั้น</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ตอนนี้ ความจริงที่ว่าบริษัทมีรายได้มากไม่ได้หมายความว่าวายได้ที่เข้ามาเป็นกำไร ในการดูว่าบริษัทมีกำไรเท่าใด จะต้องนำต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ของธุรกิจมาหักจากยอดรวมรายได้ รายได้ลยค่าใช้จ่ายเท่ากับรายได้สุทธิ อย่างไรก็ตาม รายได้รวมตัวเดียวไม่ได้บอกอะไรเลยจนกว่าจะหักค่าใช้จ่ายออก และดูว่ารายได้สุทธิมีจำนวนเท่าใด</div>
<div>
<br /></div>
<div>
หลังจากที่วอร์เรนดูยอดรวมรายได้ของธุรกิจแล้ว เขาจะเริ่มพิจารณาด้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยละเอียด เพราะเขารู้ว่าหนึ่งในความลับที่ยิ่งใหญ่ของการทำเงินให้ได้มากขึ้นคือ การใช้จ่ายน้อยลง</div>
<div>
<br /></div>
<h3 style="text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUvSlHFTBpTZAMh67E16URUoDj75jFzi91yf1VKvVBhBiBztktj-rvsQRmauH80fWfonO7sKRWP6szDOT6XWmff9DhOIy17UC7abcyTmUIgGScPwUeXO6GkuGeIcEx7c6Jr2LaXeYY3D_d/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C3.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em; text-align: center;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUvSlHFTBpTZAMh67E16URUoDj75jFzi91yf1VKvVBhBiBztktj-rvsQRmauH80fWfonO7sKRWP6szDOT6XWmff9DhOIy17UC7abcyTmUIgGScPwUeXO6GkuGeIcEx7c6Jr2LaXeYY3D_d/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C3.jpg" height="231" width="400" /></a></h3>
<h3>
ต้นทุนขาย : สำหรับวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยิ่งต่ำยิ่งดี</h3>
<div>
<b> ในงบกำไรขาดทุน รายการที่อยู่ถัดจากยอดรวมรายได้คือ ต้นทุนสินค้าขาย หรือที่รู้จักอีกชื่อว่า ต้นทุนรายได้</b> ต้นทุนสินค้าขายคือต้นทุนของสินค้าที่บริษัทซื้อมาเพื่อขาย หรือต้นทุนของวัสดุและแรงงานที่ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ขายก็ได้ หากธุรกิจของบริษัทเกี่ยวกับการให้บริการไม่ใช่การขายผลิตภัณฑ์ มักจะใช้ "ต้นทุนของรายได้" แทน "ต้นทุนสินค้าขาย" แต่ที่สุดแล้วคือสิ่งเดียวกัน เพียงแต่ตัวหนึ่งมีความหมายครอบคลุมกว่าเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งที่เราต้องทำคือ ตรวจสอบให้แน่นอนว่าบริษัทรวมอะไรเข้าไปในการคำนวณต้นทุนการขายหรือต้นทุนของรายได้บ้าง ซึ่งจะทำให้ทราบได้ว่าผู้บริหารของบริษัทคิดอย่างไรกับธุรกิจของพวกเขา</div>
<div>
<br /></div>
<div>
ตัวอย่างง่ายๆ ที่จะแสดงให้เห็นถึงวิธีการคำนวณต้นทุนสินค้าของบริษัทเฟอร์นิเจอร์บริษัทหนึ่งคือ : เริ่มจากต้นทุนของเฟอร์นิเจอร์ในสินค้าคงคลังของบริษัท ณ ต้นปี บวกต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาในสินค้าคงคลังระหว่างปี แล้วลบด้วยมูลค่าเงินสดของสินค้าคงคลัง ณ สิ้นปี เพราะฉะนั้น หากบริษัทเริ่มต้นปีโดยมีสินค้าคงคลังมูลค่า $10 ล้าน ซื้อสินค้าเข้ามาเพิ่มในสินค้าคงคลัง $2 ล้าน และเมื่อถึงปลายปีมูลค่าของสินค้าคงคลังเท่ากับ $7 ล้าน หมายความว่าบริษัทนั้นๆ มีต้นทุนสินค้าขาย $ 5 ล้านเหรียญ สำหรับงวดบัญชีนั้นๆ </div>
<div>
</div>
<div>
แม้ว่าต้นทุนสินค้าขายเพียงตัวเดียวจะไม่ได้บอกอะไรมากว่าบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่ แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้ทราบถึงกำไรขั้นต้นของธุรกิจ ซึ่งเป็นตัวเลขสำคัญในการช่วยให้วอร์เรนตัดสินว่า บริษัทนั้นๆ มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาวหรือไม่ เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กันในครั้งต่อไป</div>
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-86469602298219707132014-03-04T21:21:00.000-08:002014-03-04T21:21:01.265-08:00งบกำไรขาดทุน การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์ <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhesSj5saLiZVHEt1TAL-IkPu90nxx7lPTg0Yb3pm7xUa9FH_htJLeLFiHtAwQ2oIrBKjkQ9U7JLVWHr_cJYL8Q7BRRn4giGek4Jsmyhf08ZsuQe07nKrl6_zkiFYERyL6Ymqi7jEa9v8Zf/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhesSj5saLiZVHEt1TAL-IkPu90nxx7lPTg0Yb3pm7xUa9FH_htJLeLFiHtAwQ2oIrBKjkQ9U7JLVWHr_cJYL8Q7BRRn4giGek4Jsmyhf08ZsuQe07nKrl6_zkiFYERyL6Ymqi7jEa9v8Zf/s1600/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C.jpg" height="400" width="273" /></a></div>
<br />
<b>ในการค้นหาบริษัทชั้นยอดที่มีความได้เปรียบในการแข่'ขันที่ยั่งยืน วอร์เรน บัฟเฟตต์จะเริ่มที่งบกำไรขาดทุนของบริษัทเสมอ</b> งบกำไรขาดทุนบอกให้นักลงทุนทราบถึงผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วงเวลาหนึ่งๆ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ บริษัทจะจัดทำงบกำไรขาดทุนทุก 3 เดือนและตอนสิ้นปี งบกำไรขาดทุนจะใส่ช่วงเวลาที่ครอบคลุมเสมอ เช่น 1 มกราคม 2007 ถึง 31 ธันวาคม 2007<br />
<br />
<b>งบกำไรขาดทุนมีส่วนประกอบพื้นฐาน 3 ส่วน คือ</b> : หนึ่ง ส่วนรายได้ของบริษัท ตามด้วยส่วนค่าใช้จ่าย ซึ่งจะถูกหักออกจากรายได้และบอกว่าบริษัทได้กำไรหรือขาดทุน ฟังดูง่ายๆ ใช่มั้ย? มันง่ายจริงๆ นั่นแหล่ะ<br />
<br />
ในยุคแรกของการวิเคราะห์หุ้น นักวิเคราะห์ชั้นนำในสมัยนั้น เช่น เบนจามิน เกรแฮม อาจารย์ของ<b>วอร์เรน บัฟเฟตต์ </b>จะเน้นที่การดูว่าบริษัทสามารถทำกำไรได้หรือไม่อย่างเดียว ให้ความสนใจน้อยมากหรือไม่ให้เลยกับความสามารถในการเจริญเติบโตในอนาคตของแหล่งรายได้ อย่างที่เราได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่า เกรแฮมไม่สนใจว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจที่ไม่ธรรมดาที่มีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจดีเยี่ยม หรือเป็นเพียงหนึ่งในธุรกิจธรรมดาทั่วไปที่กำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เกรแฮมสามารถตัดสินใจซื้อบริษัทห่วยๆ ทันทีที่เขาคิดว่าราคาของมันถูกพอ<br />
<br />
หนึ่งในความเข้าใจอย่างลึกซึ่งของวอร์เรนคือ การที่เขาแบ่งโลกของธุรกิจออกเป็น 2 กลุ่ม คือ บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวและยั่งยื่นเหนือคู่แข่ง บริษัทเหล่านี้คือบริษัทที่เขายอมซื้อในราคาที่เหมาะสมหรือแพงกว่าเล็กน้อย ซึ่งสามารถทำให้เขารวยล้นได้เมื่อเก็บมันไว้นานพอ อีกกลุ่มหนึ่งคือ พวกธุรกิจธรรมดาทั่วไปที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนกับในตลาดที่มีการแข่งขันสูงปีแล้วปีเล่า ซึ่งเป้นบริษัที่ไม่ดีต่อการลงทุนระยะยาว<br />
<br />
ในการค้นหาบริษัทชั้นยอด วอร์เรนพบว่ารายการแต่ละรายการที่ประกอบกันเป็นงบกำไรขาดทุนของบริษัท สามารถบอกเขาได้ว่าบริษัทนั้นมีความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวหรือไม่ ไม่เพียงแต่ว่าบริษัทเหล่านั้นจะสามารถทำเงินได้หรือไม่เท่านั้น แต่ส่วนต่างกำไรเป็นอย่างไร บริษัทต้องใช้จ่ายกับการค้นคว้าพัฒนาสูงหรือไม่เพื่อที่จะคงความได้เปรียบและต้องใช้ความพยายยามอย่างมากหรือไม่ในการทำกำไร ปัจจัยเหล่านี้ประกอบกันขึ้นเป็นข้อมูลที่เขาเก็บเกี่ยวได้จากงบกำไรขาดทุน เพื่อจะเรียนรู้ธรรมชาติของกลไกเศรษฐกิจของบริษัทหนึ่งๆ ..สำหรัรบวอร์เรน แหล่งที่มาของรายได้สำคัญกว่าตัวรายได้เสมอ <br />
<br />
ในหัวข้อข้างหน้า เราจะเจาะลึกรายการแต่ละรายการในงบการเงินของบริษัท และสิ่งที่วอร์เรนมองหา ที่จะบอกให้เขารู้ว่ามันเป็นธุรกิจที่จะนำเขาไปสู่ความยากจน หรือธุรกิจทองคำที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาวที่ยั่งยืน ซึ่งจะทำให้เขาเป็นคนรวยที่สุดในโลกต่อไปAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-69667129364357867262014-03-01T21:01:00.003-08:002014-03-01T21:01:43.999-08:00ขุมทองที่ซ่อนอยู่ในงบการเงิน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhq2UFdg1CH2EDAzVSbX5eE_PBNYzUKWJmiyXaSkJ_wfyGyGGxfkozZGOD4PEtXwxEA1g6r6RYnCBXUo1rXZiO87oCL1lK_S9CU-XX2A_NkdekrIaFeDugU_7yGTae5hWU6VQgX_mKtNy3o/s1600/%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhq2UFdg1CH2EDAzVSbX5eE_PBNYzUKWJmiyXaSkJ_wfyGyGGxfkozZGOD4PEtXwxEA1g6r6RYnCBXUo1rXZiO87oCL1lK_S9CU-XX2A_NkdekrIaFeDugU_7yGTae5hWU6VQgX_mKtNy3o/s1600/%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8B%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.jpg" height="266" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียนรู้ว่า "ความยั่งยืน" ของความได้เปรียบในการแข่งขันคือหัวใจสำคัญที่สร้างความมั่งคั่งทั้งมวล ใน 122 ปีที่ผ่านมา โคคา - โคล่าขายสินค้าตัวเดิม และเป็นไปได้อย่างมากว่าจะคงขายสินค้าตัวนี้อยู่ในอีก 122 ปีข้างหน้า<br />
<br />
ความสม่ำเสมอ (Consistency) ของผลิตภัฎฑ์นี่เองที่เป็นตัวสร้างกำไรของบริษัทอย่างสม่ำเสมอด้วย หากบริษัทไม่ต้องเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์ตลอดเวลา บริษัทก็ไม่ต้องเสียเงินนับล้านกับการค้นคว้าวิจัย ไม่ต้องเสียอีกนับพันล้านในการปรับปรุงโรงงาผลิตสินค้ารุ่นใหม่ของปีหน้าเงินในกำปั่นของบริษัทจึงพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหมายความว่าบริษัทไม่ต้องแบกภาระหนี้หนักอื้ง ซึ่งหมายถึงการไม่ต้องเสียดอกเบี้ย และหมายถือการมีเงินมากมายในการขยายธุรกิจหรือซื้อหุ้นคืน ซึ่งจะเพิ่มรายได้และราคาหุ้นของบริษัท และทำให้ผู้ถือหุ้นรวยขึ้น<br />
<br />
ดังนั้น เมื่อวอร์เรนดูงบการเงินของบริษัทหนึ่งๆ เขาจึงมองหาความสม่ำเสมอ คงเส้นคงว่า บริษัทมีส่วนต่างกำไรสูงอย่างสม่ำเสมอหรือไม่? บริษัทมีหนี้น้อยหรือไม่มีเลยสม่ำเสมอหรือไม่ ? บริษัทไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงในการค้นคว้าพัฒนาอย่างสม่ำเสมอหรือไม่? บริษัทมีการเติบโตสม่ำเสมอหรือไม่? "ความสม่ำเสมอ" ซึ่งปรากฏในงบการเงินนี่เองที่ทำให้วอร์เรนเห็น "ความยั่งยืน" ของความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท<br />
<br />
เมื่อวอร์เรนต้องการดูว่าบริษัทใดมีความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันหรือไม่ เขาจะมุ่งไปที่งบการเงินของบริษัท<br />
<br />
งบการเงิน คือขุมทองที่ซึ่งวอร์เรนเก็บเกี่ยวทองคำแห่งความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน งบการเงินของบริษัทนี่เองที่บอกเขาว่า เขากำลังมองหาบริษัทธรรมดา "งั้นๆ" ที่มีผลประกอบการไม่น่าประทับใจตลอดปีตลอดชาติ หรือบริษัทที่มีวามได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนซึ่งจะทำให้เขารวยมหาศาล <br />
<br />
งบการเงินสำคัญมี 3 ชนิด คือ :<br />
<br />
1. <b>งบกำไรขาดทุน :</b> งบกำไรขาดทุนบอกเราว่า บริษัททำกำไรเท่าใดในช่วงเวลาหนึ่งๆ ตามธรรมเนียมแล้วนักบัญชีของบริษัทจะจัดทำงบกำไรขาดทุนให้ผู้ถือหุ้นทุก 3 เดือนของปีบัญชี หรือสำหรับทั้งปีบัญชี จากงบกำไรขาดทุน วอร์เรนจะทราบถึงสิ่งต่างๆ เช่น ส่วนต่างกำไรของบริษัท อัตราส่วนกำไรต่อการลงทุน และที่สำคัญที่สุดคือ ความสม่ำเสมอและทิศทางของรายได้ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้คือสิ่งจำเป็นในการที่จะตัดสินว่า บริษัทหนึ่งๆ ได้ประโยชน์จากความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนหรือไม่<br />
<br />
2. <b>งบดุล : </b>งบดุลบอกเราว่าบริษัทมีเงินเท่าใดในธนาคารและเป็นหนี้เท่าใด เมื่อลบหนี้ที่มีออกจากเงินในธนาคาร เราจะได้มูลค่าสุทธิของบริษัท บริษัทหนึ่งๆ สามารถจัดทำงบดุลได้ทุกเมื่อที่ต้องการ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าบริษัทมีสินทรัพย์รวมเท่าใด หนี้สินเท่าใด และมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทในวันนั้นๆ เป็นเท่าใด<br />
<br />
ตามธรรมเนียมปฏิบัติ บริษัทจะจัดทำงบดุลให้แก่ผู้ถือหุ้นทุกช่วง 3 เดือน (เรียกว่าไตรมาส) และในวันสิ้นปีบัญชี วอร์เรนเรียนรู้ที่จะใช้รายการบางรายการในงบดุล เช่น เงินสดของบริษัท หรือหนี้สินระยะยาวที่มี เป็นตัวบ่งชี้ถึงความได้เปรียบในการแข่ขันที่ยั่งยืน ณ ขณะนั้นของบริษัท<br />
<br />
3. <b>งบกระแสเงินสด : </b>งบกระแสเงินสดรวมข้อมูลการไหลเข้าออกของเงินสดของธุรกิจ งบกระแสเงินสดเหมาะสำหรับที่จะดูว่า บริษัทใช้จ่ายเงินเท่าใดในการเพิ่มค่าให้ส่วนทุน นอกจากนี้ ยังบอกถึงการขายและซื้อพันธบัตรและหุ้นกลับคืนด้วย ปกติบริษัทจะจัดทำงบกระแสเงินสดควบคู่กับงบการเงินอื่นๆ ด้วย<br />
<br />
ในครั้งต่อไป เราจะทำการสำรวจรายการและตัวบ่งช้ต่างๆ ในงบกำไร-ขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสดซึ่งวอร์เรนใช้ในการค้นหาว่า บริษัทนั้นๆ มีความได้เปรียบในการแข่ขันที่จะทำให้เขารวยได้ในระยะยาวหรือไม่อย่างละเอียดAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-9287083725968628302014-03-01T19:53:00.003-08:002014-03-01T19:53:54.038-08:00วอร์เรนเริ่มการค้นหาบริษัทชั้นยอดจากตรงไหน<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikeSy_NFsgJrBCw6r0yplMHN9M5iQVfaFcLz2ZsK4TCZDSgUrDyKCq5jKgsludi4a1tNQOvRo16BvNFxanatY2YKN53YyuKTiCN0FcScOySI-v6yHoIv2wKfS7gn6v-EUFiXI9AiwQNEF2/s1600/Best-Business.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikeSy_NFsgJrBCw6r0yplMHN9M5iQVfaFcLz2ZsK4TCZDSgUrDyKCq5jKgsludi4a1tNQOvRo16BvNFxanatY2YKN53YyuKTiCN0FcScOySI-v6yHoIv2wKfS7gn6v-EUFiXI9AiwQNEF2/s1600/Best-Business.jpg" height="256" width="400" /></a></div>
<br />
ก่อนที่เราจะเริ่มค้นหาบริษัทที่จะทำให้เรารวย ซึ่งก็คือบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน จะเป็นการช่วยได้มากถ้าเรารู้ว่า สามารถเริ่มค้นหาได้จากตรงไหน วอร์เรนพบว่าบริษัทชั้นยอดเหล่านี้มีรูปแบบธุรกิจพื้นฐาน 3 รูปแบบ คือ : ขายผลิตภัณฑ์เฉพาะ ขายบริการเฉพาะ หรือเป็นผู้ซื้อและผู้ขายปลิตภัฎฑ์หรือบริการซึ่งเป็นที่ต้องการของสาธารณชนอยู่เสมอในราคาต่ำ<br />
<br />
เราจะมาวิเคราะห์ดูแต่ละรูปแบบกัน<br />
<br />
<b>ขายผลิตภัณฑ์เฉพาะ</b> : นี่คือโลกของโคคา-โคล่า, เป๊ปซี่, ริกลี่ย์, เฮอร์ชีย์, บัดไวเซอร์, วอชิงตันโพส, และฟิลิปมอร์ลิส บริษัทผู้ผลิตเหล่านี้ต่างได้สร้างเรื่องราวของผลิตภัณฑ์ของพวกเขาในใจผู้ซื้อ จากการเรียนรู้ความต้องการของลูกค้าประสบการณ์ และโฆษณาส่งเสริมการขาย ทำให้ผู้ซื้อคิดถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัททุกครั้งที่ต้องการสนองความต้องการของตน เมื่ออยากเคี้ยวหมากฝรั่ง คุณจะคิดถึงริกลี่ย์ เมื่ออยากดื่มเบียร์เย็นๆ หลังเสร็จจากงานในวันอากาศร้อนจัด คุณจะคิดถึงบัดไวเซอร์ และแน่นอน อาหารจะอร่อยขึ้นเมื่อกินกับโค้ก<br />
<br />
วอร์เรนจะคิดว่าบริษัทเหล่านี้ครองใจส่วนหนึ่งของลูกค้าแล้วและตราบใดที่บริษัทหนึ่งๆ สามารถครองใจส่วนหนึ่งของลูกค้าได้ บริษัทจะไม่ต้องเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ของพวกเขา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี นอกจากนี้ ยังสามารถขายสินค้าในราคาสูงขึ้นได้ และขายได้มากขึ้น ทำให้สามารถสร้างปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่น่าที่ง ซึ่งจะปรากฏออกมาในงบการเงินของบริษัท<br />
<br />
<b> ขายบริการเฉพาะ : </b>นี่คือโลกของมูดีส์ คอร์ป, เอชแอนด์อาร์,บล็อก อิงค์, อเมริกันเอ็กเพรส, เซอร์วิสมาสเตอร์, และเวลส์ ฟาร์โก แอนด์ โค เช่นเดียวกับทนายความหรือหมอ บริษัทเหล่านี้ขายบริการที่คนต้องการและพร้อมจะจ่ายเงินซื้อ แต่ต่างจากทนายความและหมอตรงที่ว่า ความสำคัญของบริษัทเหล่านี้อยู่ที่ตัวสถาบัน ( Instritutional Spacific ) ไม่ใช่ที่คน ( People Spacific ) เมื่อคุณคิดจะทำเรื่องภาษี คุณจะคิดถึงเอชแอนด์อาร์ บล็อก ไม่ใช่คิดถึงตาแจ็คที่ทำงานในเอชแอนด์อาร์ บล็อก ซึ่งเป็นคนลงมือทำภาษีให้คุณ เมื่อวอร์เรนซื้อหุ้นของซาโลมอน บราเธอส์ ธนาคารวาณิชธนกิจ (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของซิตี้กรุ๊ป) ซึ่งเขาได้ขายออกไปในภายหลังนั้น เขาคิดว่าเขากำลังซื้อสถาบัน แต่เมื่อคนเก่งระดับหัวกะทิเริ่มพากันลาออกจากบริษัทพร้อมลูกค้ารายใหญ่ เขาพบว่าความสำคัญอยู่ที่คน ในบริษัที่มีความสำคัญอยู่ที่คน ( People Spacific ) พนักงานจะสามารถเรีรยกร้องและเอากำไรส่วนใหญ่ไปจากบริษัท ทิ้งส่วนเล็กๆ ให้กับเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น และการได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่วิธีที่นักลงทุนจะรวยได้<br />
<br />
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่ขายบริการเฉพาะสามารถสร้างปรากฏการณ์ได้เช่นกัน เพราะบริษัทไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือลงทุนมหาศาลในการสร้างโรงงานผลิตและคลังสินค้าทำให้บริษัทที่ขายบริการเฉพาะที่ครองใจลูกค้าสามารถสร้างส่วนต่างกำไรได้มากกว่าบริษัทที่ขายสินค้า<br />
<br />
<b>การเป็นผู้ซื้อและผู้ขายผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สาธารณชนต้องการเสมอในราคาต่ำ :</b> นี่คือโลกของวอลมาร์ท, คอสโก, เนบราสก้า, เฟอร์นิเจอร์ มาร์ท, และเดอะ เบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ เรลเวย์ บริษัทเหล่านี้ยอมแลกการได้ส่วนต่างกำไรสูงๆ กำับการจำหน่ายในปริมาณมาก ซึ่งกำไรที่ได้จากการจำหน่ายในปริมาณมากขึ้นแสนคุ้มค่ากับการได้ส่วนต่างกำไรที่ลดลง หัวใจสำคัญของธุรกิจรูปแบบนี้คือ เป็นผู้ซื้อราคาถูก และเป็นผู้ขายราคาถูก ทำให้มีส่วนต่างกำไรสูงกว่าคู่แข่ง และขณะเดียวกันยังเป็นผู้ขายสินค้าหรือบริการในราคาต่ำได้อีกด้วย นอกจากนี้ เรื่องราวการเป็นผู้ขายสินค้าราคาต่ำที่สุดในเมืองยังจะเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องราวตัดสินใจเลือกร้านเมื่อลูกค้าต้องการจับจ่ายซื้อสินค้า ในโอมาฮา หากคุณต้องการเตาใหม่สำหรับบ้านของคุณคุณจะไปที่เนบราสก้า เฟอร์นิเจอร์ มาร์ท ที่คุณคิดว่ามีสินค้าให้เลือกมากที่สุดและราคาคุ้มค่าที่สุด เมื่อจะส่งสินค้าข้ามประเทศ คุณจะนึกถึง เดอะ เบอร์ลิงตัน นอร์ทเธิร์น ซานตาเฟ ซึ่งคุ้มค่าเงินที่คุณที่สุดและหากคุณอยู่ในเมืองเล็กและต้องการไปซื้อของใหห้างที่มีสินค้าให้เลือกมากที่สุดในราคาคุ้มที่สุด คุณจะไปที่วอลมาร์ท<br />
<br />
นี่คือสิ่งซึ่งธรรมดามาก : ขายผลิตภัณฑ์เฉพาะ หรือขายบริการเฉพาะ หรือเป็นผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าและบริการในราคาถูก แล้วเงินสดจะไหลเข้ามาในมือคุณปีแล้วปีเล่า เหมือนกับว่าคุณกำลังปล้นธนาคารในมอนติคาร์โลอย่างไรอย่างนั้น<br />
Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-64540435901514948232014-03-01T18:52:00.000-08:002014-03-01T18:52:05.469-08:00ธุรกิจประเภทใดที่ทำให้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ รวยระเบิด <br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTLZowHZLzuIVBXWkcBbIm2Vm1Y-1h6jCuxFg6_gEiIRwE6oAXVt9BK8fjEP5KIF9J4YmFV__vdqcmye7YnMdu2HsqF-c-_lQ-8t17DsxCU_HmTI5zlXPyPFo-Dqf79qh4el7UjwItPjKT/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTLZowHZLzuIVBXWkcBbIm2Vm1Y-1h6jCuxFg6_gEiIRwE6oAXVt9BK8fjEP5KIF9J4YmFV__vdqcmye7YnMdu2HsqF-c-_lQ-8t17DsxCU_HmTI5zlXPyPFo-Dqf79qh4el7UjwItPjKT/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99.jpg" height="240" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<b> ในการเข้าใจความจริงประการแรกที่วอร์เรนค้นพบ เราต้องเข้าใจธรรมชาติของวอลล์สตรีทและผู้เล่นหลักของวอลล์สตรีทก่อน</b> แม้วอลล์สตรีทจะให้บริการหลากหลายแก่ธุรกิจในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา แต่ก็เป็นบ่อนขนาดใหญ่ที่นักพนันในคราบนักเก็งกำไรวางเดิมพันจำนวนมหาศาลเล่นกับการขึ้นลงของราคาหุ้นด้วย<br />
<br />
ในยุคแรก นักพนันบางคนสามารถสร้างความมั่งคั่งและชื่อเสียงให้กับตนเอง กลายเป็นบุคคลสำคัญที่ผู้คนจะพากันติดตามความเคลื่อนไหวในหน้าข่าวการเงิน ตัวอย่างคนเหล่านี้สองสามคน คือ จิม เบรดี หรือ 'ไดมอนด์' และ เบอร์นาร์ด บารุค ซึ่งได้รับการยกย่องว่าคือ "ปรมาจารย์แห่งการลงทุน" ในยุคของพวกเขา<br />
<br />
ในยุคปัจจุบันนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุนรวม กองทุนเก็งกำไร (Hedge Fund) และกองทุนเพื่อการลงทุน ได้เข้ามาแทนที่นักเก็งกำไรสมัยก่อน นักลงทุนสถาบัน "ขาย" ตัวเองแก่สาธารณชนด้วยการสร้างภาพว่าคือผู้เชี่ยวชาญในการเลือกหุ้น และเที่ยวโฆษณาอวดผลการดำเนินการประจำปีเป็นเหยื่อล่อผู้ไร้วิสัยทัศน์ซึ่งกระหายจะรวยอย่างรวดเร็ว<br />
<br />
ตามกฏก็คือ นักเก็งกำไรมักจะเป็นพวก "อยู่ไม่สูข" คือ... รีบซื้อเมื่อมีข่าวดี และรีบขายเมื่อมีข่าวร้าย หากราคาหุ้นไม่เคลื่อนไหวภายในเดือนสองเดือน พวกเขาจะรีบขายเพื่อมองหาตัวใหม่<br />
<br />
นักพนันรุ่นใหม่ระดับหัวกระทิต่างพากันพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อนเพื่อวัดความเร็วจองการขึ้นหรือตกของราคาหุ้น หากราคาหุ้นขึ้นเร็วระดับหนึ่ง คอมพิวเตอร์จะส่งสัญญาณซื้อ หากราคาหุ้นตกเร็วระดับหนึ่ง คอมพิวเตอร์จะส่งสัญญานขาย ทำให้เกิดการกระโดดเข้า กระโดดออกในหุ้นนับพันตัวทุกวัน<br />
<br />
การที่นักลงทุนคอมพิวเตอร์เหล่านี้จะรีบกระโดดเข้าซื้อในวันนี้แล้วรีบกระโดออกในวันรุ่งขึ้นไม่ใช่เรื่องผิดปกกติ ผู้จัดการกองทุนเก็งกำไรหลายรายก็ใช้ระบบนี้ และสามารถทำเงินมากมายให้กับลูกค้าได้ แต่เมื่อใดที่ขาดทุน ลูกค้าเหล่านี้ (หากยังมีเงินเหลือ) ก็จะบอกลาทันทีเพื่อไปหานักเลือกหุ้นคนใหม่<br />
<br />
วอลล์สตรีทเต็มไปด้วยเรื่องราวความรุ่งโรจน์และความตกต่ำของนักเลือกหุ้นระดับเซียนและไม่ค่อยเซียนเหล่านี้<br />
<br />
การซื้อขายหุ้นอย่างบ้าระห่ำของนักเก็งกำไรมีมานมนาน หนึ่งในปรากฏการณ์ซื้อระห่ำครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งคือ ในทศวรรษ 1920 ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงลิ่ว แต่แล้วในปี 1929 ตลาดก็พังครืน หุ้นร่วงไม่เป็นท่า<br />
<br />
ในต้นทศวรรษ 1930 นักวิเคราะห์หนุ่มกล้าได้กล้าเสียแห่งวอลล์สตรีท นาม เบนจามิน เกรแฮม สังเกตเห็นว่านักเลือกหุ้นคนดังส่วนใหญ่ในวอลล์สตรีทไม่ได้ให้ความสนใจเลยกับเศรษฐกิจในระยะยาวของธุรกิจซึ่งพวกเขากำลังวุ่นกับการซื้อ - ขาย สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจคือ ราคาหุ้นที่พวกเขาเลือกจะวิ่งขึ้นหรือลงหรือไม่ใช่ช่วงเวลาสั้นๆ<br />
<br />
เกรแฮมยังสังเกตเห็นว่า บางครั้งในการเก็งกำไร นักเลือกหุ้นระดับเซียนเหล่านี้จะไล่ราคาหุ้นจนขึ้นสูงอย่างน่าขัน เมื่อเทียบกับความเป็นจริงจองเศรษฐกิจในระยะยาวของธุรกิจที่แฝงอยู่ และยังตระหนักด้วยว่า ในทำนองเดียวกัน เซียนพวกเดียวกันนี้บางครั้งยังพากันเทขายอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงอย่างไม่น่าเชื่อ โดยไม่สนใจกับโอกาสทำกำไรในระยะยาวของบริษัทเลย และราคาหุ้นที่ตกต่ำลงอย่างเหลือเชื่อนี้แหละที่เกรแฮมเห็นเป็นโอกาสอันดีเยี่ยมในการทำเงิน<br />
<br />
เกรแฮมให้เหตุผลว่า หากเขาซื้อ "ธุรกิจที่เข้าข่ายขายมากเกินไปในราคาต่ำกว่ามูลค่าจริงในระยะยาว ในที่สุดตลาดจะพบความผิดพลาดและปรับราคาขึ้นไปใหม่ และเมื่อตลาดให้ราคาใหม่ที่สูงขึ้นแล้วเขาก็จะขายทำกำไร นี่คือพื้นฐานที่รู้กันทุกวันนี้ ซึ่งเรียกว่า <b>การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investing ..</b>.เกรแฮมคือบิดาของศาสตร์นี้<br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKjTI5TpVaaZsUyxJvbo3rwYAnqV1-189ZvbOKa2eCNFNE4AA4TaNURiUsVUS3rkTEZ6bHDjscULtUki4_rjhdazNhu16dPDZARrKMJHssrIOvsMl5J1j0X7XWLXZTVWM2-Ba9-KeYTbxL/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%AE%E0%B8%A1.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKjTI5TpVaaZsUyxJvbo3rwYAnqV1-189ZvbOKa2eCNFNE4AA4TaNURiUsVUS3rkTEZ6bHDjscULtUki4_rjhdazNhu16dPDZARrKMJHssrIOvsMl5J1j0X7XWLXZTVWM2-Ba9-KeYTbxL/s1600/%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%99++%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%81%E0%B8%AE%E0%B8%A1.jpg" height="228" width="400" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องตระหนักคือ <b>เกรแฮมไม่สนใจว่าธุรกิจประเภทไหนที่เขาซื้อ ในโลกของเขาทุกธุรกิจจะมีราคาหนึ่งซึ่งถือว่าถูกมาก </b>เมื่อเขาเริ่มใช้หลักการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในทศวรรษ 1930 เขามุ่งเน้นการค้นหาบริษัทที่มีการซื้อขายต่ำกว่าจำนวนเงินสดที่บริษัทถืออยู่ ซึ่งเขาเรียกว่า "การซื้อ 1 ดอลลาร์ ในราคา 50 เซนต์" นอกจากนี้เขายังมีมาตรฐานอื่นๆ ด้วย เช่น จงอย่าจ่ายเงินซื้อหุ้นสูงกว่า 10 เท่า ของกำไรของบริษัท และจงขายหุ้นเมื่อราคาเพิ่มขึ้น 50% และหากหุ้นใดๆ ไม่ขึ้นภายใน 2 ปี เขาก็จะขายทิ้งด้วย จริงอยู่ การมองของเขายาวขึ้นกว่าพวกนักเก็งกำไรในวอลล์สตรีทเล็กน้อย แต่ความจริงก็คือเขาให้ความสนใจเป็นศูนย์ หรือเรียกได้ว่าไม่สนใจเลยว่าบริษัทนั้นๆ จะเป็นอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียนรู้แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่าจากเกรแฮมที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในทศวรรษ 1950 จากนั้นก่อนที่เกรแฮมจะเกษียนไม่นาน ได้เข้าทำงานในตำแหน่งนักวิเคราะห์ในบริษัทของแกรแฮมที่วอลล์สตรีท และได้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่มีชื่อเสียง คือ วอลลเตอร์ ชโลสส์ ซึ่งได้สอนให้หนุ่มน้อย วอร์เรน บัฟเฟตต์ เรียนรู้ถึงศิลปะในการค้นพบสถานการณ์ที่ราคาของบริษัทต่ำกว่ามูลค่าจริง ด้วยการให้เขาอ่านงบการเงินของบริษัทนับพัน</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
หลังจากที่เกรแฮมเกษียนอายุแล้ว วอร์เรนเดินทางกลับบ้านเกิดที่โอมาฮา ทำให้เขามีเวลานั่งไตร่ตรองแนวคิดของเกรแฮมห่างจากนักเก็งกำไรบ้าระห่ำในวอลล์สตรีท และในช่วงนี้เองที่เขาพบว่า คำสอนของอาจารย์ของเขามีปัญหาสองสามประการ</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b>ประการแรกคือ</b> ไม่ใช่ว่าธุรกิจที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าจะได้รัรบการปรับราคาให้สูงขึ้นทุกธุรกิจ และบางธุรกิจถึงกับล้มละลายก็มี ทุกงวดของการขายหุ้นจะมีจำนวนหนึ่งซึ่งกำไรและอีกจำนวนหนี่งที่ขาดทุน ซึ่งฉุดให้ผลประกอบการโดยรวมต่ำลง เกรแฮมพยายามป้องกันสถานการณ์เช่นนี้ด้วยการมีพอร์ตฟอลิโอที่ประกอบด้วยบริษัทมากมาย บางครังถึง 100 บริษัทหรือกว่านั้นก็มี นอกจากนี้ยังใช้กลยุทธ์ในการขจัดหุ้นที่ราคาไม่ขึ้นหลังจากลงทุนมา 2 ปีออกด้วย กระนั้นก็ตาม สุดท้ายแล้ว "หุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่า" ของเขาหลายตัวก็ยังคงต่ำกว่ามูลค่าอยู่ </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<b> วอร์เรน บัฟเฟตต์ พบว่าบริษัทจำนวนหนึ่่งซึ่งเขาและเกรแฮมซื้อ และขายไปแล้วตามกฏ 50% ของเกรแฮมยังคงเติบโตขึ้นทุกปี</b> และระหว่างนี้เขาได้เห็นราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้พุ่งขึ้นเรื่อยๆ หลักจากที่เกรแฮมขายทิ้งไปแล้ว เหมือนกับว่าพวกเขาซื้อตั๋วรถไฟไปที่ "ถนนสุขสบาย" แต่กลับกระโดดรถก่อนจะถึงสถานีเสืยอย่างนั้น เพราะว่าไม่รู้อย่างแท้จริงว่ารถไฟกำลังมุ่งไปที่ไหน</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
วอร์เรน คิดว่าเขาสามารถพัฒาผลงานของอาจารย์ให้ดีขึ้นได้ด้วยการศึกษาเศรษฐกิจของธุรกิจองบริษัทดาวเด่นเหล่านี้ แล้วก็เริ่มศึกษางบการเงินของบริษัทเหล่านี้ด้วยมุมมองใหม่ว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้บริษัทเหล่านี้เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนยอดเยี่ยมในระยะยาว</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
สิ่งที่วอรเรน บัฟเฟตต์เรียนรู้ก็คือบริษัทชั้นยอดเหล่านี้ล้วนได้ประโยชน์จากความได้เปรียบในการแข่งขั้นบางประการที่ทำให้เกิดเศรษฐกิจซึ่งเหมือนระบบผูกขาด ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถขึ้นราคาผลิตภัณฑ์หรือขายผลิตภัณฑ์ได้มากกว่า และสามารถทำเงินได้เหนือกว่าคู่แข่งจำนวนมหาศาล</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
วอร์เรนยังพบว่า หากบริษัทสามารถคงความได้เปรียบในการแข่งขันเป็นเวลานาน หรือหากว่าความได้เปรียบนั้นมีความ "ยั่งยืน" มูลค่าแฝงของบริษัทก็จะเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่องด้วย เมื่อพิจารณาถึงมูลค่าแฝงที่เพิ่มขึ้นแล้ว วอร์เรนก็ยิ่งเห็นเหตุผลว่ายิ่งเขาลงทุนนานเท่าใดเขาก็ยิ่งมีโอกาสในการทำกำไรมาขึ้นจากความได้เปรียบของธุรกิจ</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
วอร์เรนยังพบว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งในอนาคต นักลงทุนหรือนักเก็งกำไร หรือทั้ง 2 กลุ่ม -- จะเห็นมูลค่าแฝงที่เพิ่มขึ้นของบริษัทนั้นๆ และดันราคาหุ้นของบริษัทขึ้น ซึ่งเหมือนกับว่าการได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนของบริษัท ทำให้การลงทุนในธุรกิของบริษัทเหล่านี้ประสบความสำเร็จได้เองตามคาด</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
วอร์เรนได้พบบางสิ่งซึ่งน่าอัศจรรย์กว่าแล้ว...ธุรกิจเหล่านี้มีเศรษฐกิจขอธุรกิจน่าทึ่งซึ่งทำงานอยู่ฝ่ายพวกเขา ทำให้โอกาสการล้มละลายของบริษัทเหล่านี้เป็นศุนย์ ซึ่งหมายความว่ายิ่งนักเก็งกำไรในวอลล์สตรีทพากันทุบราคาหุ้นให้ยิ่งต่ำลงเท่าใด วอร์เรนก็จะมีความเสี่ยงในการซื้อหุ้นเหล่านี้เข้ามาเก็บน้อยลงเท่านั้น นอกจากนี้ ราคาหุ้นที่ต่ำลงยังหมายถึงโอกาสในการขึ้นมากขึ้นด้วย ยิ่งเขาเก็บหุ้นไว้นานเท่าใด เขาก็ยิ่งมีเวลาในการทำกำไรจากเศรษฐกิจแฝงของธุรกิจเหล่านี้ยิ่งขึ้น ความจริงดังกว่านี้จะสร้างความมั่งคั่งมหาศาลให้เขาทันทีที่ตลาดหุ้นมองเห็นอนาคตอันสดใสของบริษัทเหล่านี้ในที่สุด</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ทั้งหมดนี้ขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับภาษิตของวอลล์สตรีทที่บอกว่าเพื่อให้ได้กำไรสูงสุดคุณต้องเพิ่มความเสี่ยงแฝง หรือที่ว่ากันว่า<b> "ยิ่งมีความเสี่ยงมาก ยิ่งกำไรมาก" วอร์เรนได้พบ "จอกศักสิทธิ์" แห่งการลงทุนแล้ว</b> ....เขาได้พบกับการลงทุนที่เสี่ยงน้อยลง แต่มีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
เพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น วอร์เรนพบว่าเขาไม่ต้องรอให้วอลล์สตรีททุบหุ้นจนได้ราคาถูกแสนถูกอีกต่อไป แต่เขาสามารถซื้อหุ้นของบริษัทชั้นยอดเหล่านี้ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งยังคงทำกำไรได้หากลงทุนนานพอ นอกจากนี้ ยังพบว่า หากเขาเก็บหุ้นในระยะยาว ไม่ขายออก เขายังสามารถเลื่อนการจ่ายภาษีของกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้นออกไปเรื่อยๆ ทำให้การลงทุนของเขาปลอดภาษีไปตลอดตราบใดที่เขายังถือหหุ้นไว้ด้วย</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
มาดูตัวอย่างกัน.... ใปี 1973 วอร์เรนลงทุน 11 ล้านเหรียญ ในวอชิงตันโพสต์ บริษัทหนังสือพิมพ์ที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน และยังคง "กอด" ไว้อยู่จนถึงตอนนี้ ในช่วงกว่า 35 ปี ที่วอร์เรนลงทุน มูลค่าของบริษัทได้พุ่งขึ้นถึง $1.4 พันล้านเหรียญ <b>นี่คือการลงทุน 11 ล้านเหรียญ ที่ทำกำไรได้ $1.4 พันล้านเหรียญ!!! </b> ไม่เลวเลยทีเดียว และที่ดีที่สุดคือ เนื่องจากวอร์เรนไม่เคยขายหุ้นเลยสักหุ้น ดังนั้นจนถึงขณะนี้เขาจึงยังไม่ต้องเสียภาษีสักสตางค์แดงเดียวจากกำไรที่ได้รับด้วย </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
ในทางกลับกัน เกรแฮมซึ่งใช้หลัก 50% คงขายหุ้นวอชิงตันโพสต์ของวอร์เรนไปตั้งแต่ปี 1976 ในราคาราว 116 ล้านเหรียญ และต้องเสียภาษี 39% ของกำไรที่ได้จากส่วนต่างราคาหุ้น แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ บรรดาเซียนคัดหุ้นในวอลล์สตรีทที่คงจะซื้อๆ ขายๆ เป็นเจ้าของหุ้นเหล่านี้ครั้งไม่ถ้วนในช่วง 35 ปีที่ผ่านมา เพื่อที่จะได้กำไร 10-20% จากตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้าง และต้องเสียภาษีทุกครั้งที่ขายด้วย แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์คั้นกำไรจากการลงทุนในวอชิงตันโพสต์ได้มากถึง 12,460% และถึงทุกวันนี้ยังไม่ต้องเสียภาษีสักแดงเดียวจากกำไร <b>$1.4 พันล้านเหรียญ</b></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
วอร์เรนได้เรียนรู้ว่า เวลาจะทำให้เขารวยระเบิด หากเขาลงทุนในบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน </div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="http://content.time.com/time/covers/0,16641,20120123,00.html"><img alt=" warren buffett" border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-IKVeIvNAPOKOdxWSYEwRu9jstr84wClp00Cny6Zp2GIuhwj__rreXYZfTeoo8VsnWl3tLRAKbfAg6meP04Y0HYvG8lSv88H_fzyFi2T8kxwSQR6xupCnZI9iwuliCd3wWxNBur3OMunT/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%9914.jpg" height="400" width="300" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
<br /></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: left;">
</div>
<br />Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-3192992459148001147.post-90361294430568135572014-02-28T07:57:00.003-08:002014-02-28T07:57:56.391-08:00เผยความจริง ที่ทำให้ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือชายที่รวยที่สุดในโลก<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgU0oeskEDn54wCQ0YP-agHKbeM_4xz0EYGNz6BhAaq0dTnxmTzWM-qJL1swgC77GadmMt5pSjHIoQ8Ge2grDeba15p_ZWbn0xG3ZoQ6guIl-gFexpjWMxka5N1o0-_RxuBz8Hmju6nUPeD/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%992.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgU0oeskEDn54wCQ0YP-agHKbeM_4xz0EYGNz6BhAaq0dTnxmTzWM-qJL1swgC77GadmMt5pSjHIoQ8Ge2grDeba15p_ZWbn0xG3ZoQ6guIl-gFexpjWMxka5N1o0-_RxuBz8Hmju6nUPeD/s1600/%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%99++%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B9%8C+%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%992.jpg" height="400" width="400" /></a></div>
<br />
<br />
<h3 style="text-align: center;">
"คุณต้องเข้าใจบัญชี และต้องเข้าใจความแต่ต่างเล็กๆ น้อยๆ ในบัญชี บัญชีคือภาษาของธุรกิจ แต่เป็นภาษาที่ไม่สมบูรณ์ </h3>
<h3 style="text-align: center;">
ตราบใดที่คุณไม่มีความตั้งใจ ที่จะเรียนรู้และเข้าใจบัญชี วิธีการอ่านและตีความหมายของงบการเงิน...จงอย่าเลือกหุ้นด้วยตัวคุณเอง "</h3>
ในกลางทศวรรษที่ 60 วอร์เรนได้หยุดพิจารณากลยุทธ์การลงทุนของเบนจามิน เกรแฮม ใหม่ ซึ่งทำให้เขาพบกับความจริงเหลือเชื่อ 2 ประการ เกี่ยวกับว่า บริษัทประเภทใดที่ดีที่สุดในการลงทุน และจะทำเงินให้ได้มากที่สุดในระยะยาว ผลโดยตรงจากการค้นพบนี้ก็คือ วอร์เรน ได้เปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value investment) ตามแนวคิดของเกรแฮมซึ่งเขาใช้อยู่จนถึงขณะนั้น และได้สร้างกลยุทธ์การลงทุนเพื่อความมั่งคั่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกเท่าที่เคยมี<br />
<br />
วัตถุประสงค์ของหนังสือเล่มนี้ก็คือ สำรวจความจริง 2 ประการที่ วอร์เรนได้พบ คือ<br />
<br />
<ol>
<li>วิธีการบ่งชี้บริษัทชั้นยอดที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน</li>
<li>วิธีการในการประเมินมูลค่าของบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน </li>
</ol>
เพื่อจะอธิบายว่า กลยุทธ์สุดพิเศษของวอร์เรนทำงานอย่างไรและเขาใช้กลยุทธ์ของเขากับงบการเงินอย่างไร จึงทำให้เขาเป็นคนรวยที่สุดในโลกAnonymoushttp://www.blogger.com/profile/13199100361603162740noreply@blogger.com0