วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

กำไร (ขาดทุน) กำไรก่อนหักภาษี และภาษีจ่าย


กำไร (ขาดทุน) จากการขายสินทรัพย์และอื่นๆ 

         เมื่อบริษัททำการขายสินทรัพย์ (ที่ไม่ใช่สินค้าคงคลัง) กำไรหรือขาดทุนจากการขายจะได้รับการบันทึกภายใต้ กำไร (ขาดทุน) จากการขายสินทรัพย์ โดยกำไรคือส่วนต่างของเงินที่ได้รับจากการขายและมูลค่าของสินทรัพย์ที่ปรากฏในบัญชีของบริษัท  หากบริษัทมีอาคารที่ได้มาในราคา $1 ล้าน  หลังจากตัดค่าเสื่อมไปเหลือมูลค่าเพียง $500,000 แล้วขายไป $800,000 บริษัทจะบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์เท่ากับ $300,000  ในทางเดียวกัน  หากบริษัทขายอาคารไปในราคา $400,000 เหรียญ  บริษัทก็จะบันทึกขาดทุนเท่ากับ $100,000

        สำหรับบัญชีอื่นๆ ก็เป็นไปในทำนองเดียวกันนี้ บัญชีนี้คือที่ที่รายได้และค่าใช้จ่ายซึ่งไม่เกี่ยวกับการดำเนินกิจการ  ค่าใช้จ่ายที่ไม่ปกติและไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ได้รับการคำนวณออกมาและบันทึกลงในงบกำไรขาดทุน  รายการเหล่านี้รวมถึงการขายสินทรัพย์ถาวร  เช่น  ที่ดิน  โรงงาน และเครื่องจักร  ส่วนที่รวมอยู่ในรายการ อื่นๆ อาจมี  เช่น การอนุญาติใช้สิทธิ์และการขายสิทธิบัตร  หากสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับธุรกิจปกติของบริษัท

       บางครั้งรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวก็มีนัยสำคัญต่อตัวเลขกำไรขาดทุนของบริษัทเช่่นกัน แต่เนื่องจากมันเป็นรายการที่จะไม่เกิดอีก  วอร์เรนจึงเชื่อว่าในการจะตัดสินว่าบริษัทมีความได้เปรียบในการแข่งขันหรือไม่นั้น  รายการเหล่านี้มันไม่ควรนำมาคำนวณรวมในกำไรสุทธิของบริษัท


กำไรก่อนหักภาษี : ตัวเลขซึ่งวอร์เรน  บัฟเฟตต์ใช้

          กำไรก่อนหักภาษี  คือกำไรของบริษัทหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว  แต่ยังไม่หักภาษี  นี่คืออีกหนึ่งตัวเลขที่วอร์เรนใช้ในการคำนวณผลตอบแทนที่จะได้รับเมื่อเขาซื้อธุรกิจทั้งธุรกิจ  หรือซื้อเพียงบางส่วนจากการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์

          นอกจากการลงทุนที่ได้รับการยกเว้นภาษีแล้ว  ผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนทุกรูปแบบจะถูกนำเสนอต่อตลาดในรูปก่อนการหักภาษีและเนื่องจากการลงทุนทุกชนิดจะต้องมีการแข่งขัน  ดังนั้น  การคิดถึงธุรกิจเหล่านี้ภายใต้เงื่อนไขที่เท่าเทียมกันจึงง่ายกว่า

          เมื่อวอร์เรน  บัฟเฟตต์ซื้อพันธบัตรปลอดภาษีมูลค่า $139 ล้านเหรียญ ของวอชิงตัน  พับบลิค เพาเวอร์  ซัพพลาย ซิสเต็ม (Washington Public Power Supply System - WPPSS) ซึ่งจ่ายดอกเบี้ยให้เขาปีละ $22.7 ล้านเหรียญ  โดยไม่ต้องหักภาษีนั้น  เขาให้เหตุผลว่ารายได้หลังหักภาษี  $22 ล้านเหรียญ  เท่ากับรายได้ก่อนหักภาษี $45 ล้าน ซึ่งปกติการซื้อธุรกิจที่จะทำรายได้ก่อนหักภาษีให้เขา $45 ล้าน  เขาต้องจ่ายเงิน $250 ล้าน ถึง $300 ล้าน ดังนั้น  เขาจึงมองว่าพันธบัตรของ WPPSS เป็นธุรกิจที่เขาซื้อได้ในราคาส่วนลด 50% เทียบกับมูลค่าของธุรกิจอื่นที่มีเศรษฐกิจเดียวกันซึ่งขายกันอยู่ในตลาด

          วอร์เรนจะพูดถึงรายได้ของบริษัทในรูปรายได้ก่อนหักภาษีเสมอเพราะทำให้เขาสามารถเปรียบเทียบธุรกิจหรือการลงทุนหนึ่งกับอีกธุรกิจหรือการลงทุนอื่นๆได้  หนึ่งในความจริงสำคัญที่วอร์เรนเผยให้เห็นก็คือ  บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน  ความจริงแล้วก็คือ  "ตราสารทุน" (Equity bond) ประเภทหนึ่งที่ให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเสมอ  เราจะท้าการสำรวจทฤษฏีเกี่ยวกับ "ตราสารทุน" ของวอร์เรนอย่างละเอียดขึ้นในครั้งท้าย ๆ ของการตีความงบการเงินนี้


ภาษีจ่าย : วอร์เรนทราบได้อย่างไรว่าใครพูดความจริง

           เช่นเดียวกันกับผู้เสียภาษีทุกคน  บริษัทสัญชาติอเมริกันทุกบริษัทต้องเสียภาษีรายได้  โดยปัจจุบันอัตราภาษีที่ชำระอยู่ที่ประมาณ 35% ของรายได้บริษัท  เมื่อมีการจ่ายภาษีจำนวนดังกล่าวจะได้รับการบันทึกลงในงบกำไรขาดทุนภายใต้ ภาษีรายได้  หรือ  ภาษีจ่าย
           สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ภาษีจ่าย  ก็คือ  มันสะท้อนให้เห็นถึงรายได้ก่อนหักภาษีที่แท้จริงของบริษัท  บางครั้งหลายบริษัทชอบอวดโลกว่า ธุรกิจทำเงินมากกว่าที่ทำได้จริง (ช็อคล่ะสิ?) ดังนั้น  วิธีหนึ่งที่จะรู้ว่าพวกเขาพูดความจริงหรือไม่ก็คือ  ไปดูเอกสารที่ยื่น SEC ว่าพวกเขาเสียภาษีรายได้เท่าไหร่  โดยให้ดูตัวเลขตรงที่ระบุว่า  รายได้จากการดำเนินกิจการก่อนหักภาษี  แล้วหักออก 35% หากจำนวนที่ได้ไม่เท่ากับจำนวนที่บริษัทระบุไว้ใน ภาษีจ่าย  ก็เริ่มสงสัยได้

         วอร์เรน  บัฟเฟตต์เรียนรู้จากประสบการณ์อันยาวนานว่า  บริษัmที่วุ่นวายกับการตบตาสรรพากร  มักจะพยายามอย่างยิ่งในการตบตาผู้ถือหุ้นด้วยและความงดงามของบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว  คือ  การที่บริษัททำเงินได้มากจนไม่ต้องสร้างภาพตบตาใคร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น