วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

ดอกเบี้ยจ่าย การตีความงบการเงิน วอร์เรน บัฟเฟตต์


ดอกเบี้ยจ่าย : วอร์เรน บัฟเฟตต์ไม่ต้องการ 

       ดอกเบี้ยจ่าย  คือ ดอกเบี้นที่บริษัทจ่ายออกไประหว่างไตรมาสหรือปี  สำหรับหนี้ของบริษัทซึ่งปรากฏในงบดุลในหมวด  หนี้สิน  ในขณะที่เป็นไปได้ที่บริษัทจะมีรายรับจากดอกเบี้ยมากกว่าที่จ่ายออกไป  เช่น ธนาคาร แต่ธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและการขายปลีกส่วนใหญ่มักจะมีดอกเบี้ยจ่ายมากกว่าดอกเบี้ยรับ  

         ค่าใช้จ่ายนี้เรียกว่าต้นทุนทางการเงิน  ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการ และจะแยกออกมาเป็นอีกรายการโดดๆ เพราะดอกเบี้ยจ่ายจะไม่ผูกพันกับการผลิตหรือการขาย  แต่สะท้อนให้เห็นถึงหนี้ทั้งหมดที่บริษัทมีในบัญชี  ยิ่งบริษัทมีหนี้เท่าใด  ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายก็สูงขึ้นเท่านั้น 

         ในบริษัทที่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงเทียบกับรายได้จากการดำเนินกิจการมีแนวโน้มที่จะเป็น 1 ใน 2 ประเภทนี้ คือ : เป็นบริษัทซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันรุนแรง  ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนสูงเพื่อให้สามารถแข่งขันได้  หรือเป็นบริษัทที่มีเศรษฐกิจของธุรกิจยอดเยี่ยมซึ่งมีหนี้จากการซื้อกิจการด้วยเงินกู้

           สิ่งที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ค้นพบก็คือ   บริษัที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนมักจะมีดอกเบี้ยจ่ายน้อยหรือไม่มีเลย  พร็อคเตอร์แอนก์แกมเบิล บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาวมีดอกเบี้ยจ่ายเพียง 8% ของรายได้จากการดำเนินกิจการเท่านั้น  ในขณะที่ริกลี่ย์มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เฉลี่ย 7% ตรงกันข้ามกับกู๊ดเยียร์ซึ่งอยู่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและเป็นธุรกิจที่มีการลงทุนสูง  ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยเฉลี่ยสูงถึง 49% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ

          แม้แต่ในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงเช่นธุรกิจสายการบิน  ตัวเลขดอกเบี้ยที่จ่ายออกไปจากรายได้จากการดำเนินกิจการก็สามารถนำมาบ่งชี้บริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันได้ด้วยเช่นกัน  สายการบินเซาธ์เวสท์ที่มีกำไรสม่ำเสมอ  มีดอกเบี้ยจ่ายเพียง 9% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ  ในขณะที่สายการบินยูไนเต็ดคู่แข่งที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่เสมอ  มีดอกเบี้ยจ่ายถึง 61% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ และสายการบินอเมริกันคู่แข่งอีกหนึ่งของเซาธ์เวสท์ซึ่งมีปัญหารุมเร้าอยู่มีดอกเบี้ยจ่ายสูงถึง 92% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ

           ด้วยเหตุนี้  จึงเป็นกฏว่า ... บริษัทในกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนซึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ลงทุนอยู่ทั้งหมดต้องมีดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่า 15% ของรายได้จากการดำเนินกิจการทั้งสิ้นอย่างไรก็ตาม  ร้อยละของดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้จากการดำเนินกิจการของแต่ละอุตสาหกรรมสามารถมีความแตกต่างกันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น เวลส์  ฟาร์โก  ธนาคารซึ่งวอร์เรนถือหุ้นอยู่ 14% จ่ายดอกเบี้ยประมาณ 30% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ ซึ่งดูเหมือนสูง เมื่อเทียบกับโค้ก แต่ความเป็นจริงแล้วกลับทำให้เวลส์  ฟาร์โกเป็นธนาคารดีที่สุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของอเมริกา ซึ่งมีอัราส่วนการจ่ายดอกเบี้ยต่ำที่สุดและน่าสนใจที่สุด  นอกจากนี้ เวลส์ ฟาร์โกยังเป็นธนาคารเดียวที่มีความมั่นคงระดับ AAA จากการจัดอันดับของสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์สด้วย

         อัตราส่วนของดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้จากการดำเนินกิจการยังเป็นตัวบ่งชี้อย่างดีถึงระดับความอันตรายของเศรษฐกิจที่บริษัทจัดอยู่ด้วย  ตัวอย่างเช่น ธนาคารวาณิชธนกิจซึ่งมีดอกเบี้ยจ่ายราว 70% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ  คนที่มีสายตาละเอียดจะเน้นว่า ในปี 2006 แบร์ สเติร์นส์  รายงานว่าบริษัทมีดอกเบี้ยจ่าย 70% ของรายได้จากการดำเนินกิจการ  แต่เมื่อถึงไตรมาสสิ้นสุด  ณ  เดือนพฤศจิกายน 2007 อัตราการจ่ายดอกเบี้ยต่อรายได้จากการดำเนินกิจการได้กระโดยสูงขึ้นถึง 230% ซึ่งหมายความว่า  บริษัทต้องนำเงินจากส่วนผู้ถือหุ้นมาโปะตรงส่วนต่างนี้  การทำเช่นนี้ในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันสูงเช่น แบร์ สเติร์นส์  หมายถึงหายนะ  และเพียงเดือนมีนาคม 2008 แบร์  สเติร์นที่เคยยิ่งใหญ่  ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 ปี มีราคาซื้อขายในตลาดสูงถึง $170 เหรียญต่อหุ้น  ก็ถูกบังคับให้ควบรวมกับเจพี  มอร์แกน เชส แอนด์ โค ในราคาเพียงหุ้นละ $10 เหรียญเท่านั้น

         กฏในบทนี้ธรรมดามาก : ในทุกอุตสาหกรรม  บริษัทที่มีอัตราส่วนดอกเบี้ยจ่ายต่อรายได้การดำเนินธุรกิจต่ำที่สุดมักจะเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขัน  และในโลกของวอร์เรน  บัฟเฟตต์  การลงทุนในบริษัทที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืน  เป็นหนทางเดียวที่สามารถรับรองได้ว่าจะนำไปสู่ความร่ำรวยได้ในระยะยาว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น